คนเฒ่า เล่าให้ฟัง
“...พ่อเฒ่าๆ
เล่าเรื่องทวดให้หลานบ่าวฟังที แต่แรกทวดเป็นใคร ท่านมาได้พันพรื่อ
หลานบ่าวอยากฟัง...” หนึ่งในบทสนทนาของหลายชาย เอ่ยถามถึงคุณตา ให้เล่าที่มาของบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่
นานมาแล้วกับความสงสัย อยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องราวของคุณทวด วันนี้ผมจึงมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ที่อาวุโสที่สุดในบ้าน
คือ “พ่อเฒ่า” ตามคำเรียกขานคุณตาของชาวภาคใต้
และ“ ป้าดำ” หนึ่งในหลานสาวของพ่อเฒ่าที่เคยคลุกคลีกับทวดมาตั้งแต่เกิด วันนี้ท่านทั้งสองจะเรียงร้อยถ้อยคำ
ลำนำเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับทวดให้ผมได้ฟัง
พ่อเฒ่าและป้าดำอาศัยอยู่
ณ บ้านเนินพิจิตร อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขา
แวดล้อมไปด้วยสวนยางพารา สวนผลไม้ และบ้านเรือนเพียงไม่กี่หลัง กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มบ้าน
ที่ล้วนแล้วเป็นเครือญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น ตระกูลของเรามีชื่อว่า “เทพวรรณ”
ความเป็นมาเป็นไปในตระกูลเทพวรรณ
ตระกูลเทพวรรณ มีถิ่นกำเนิดในตำบลพิจิตร โดยที่มาว่า ก่อนที่จะย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบัน
ซึ่งเรียกว่าบ้านเนินพิจิตร บรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่ที่วังทวด (ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านอาณาเขตติดต่อกับอำเภอจะนะ)
มีหัวหน้าชุมชนชื่อขุนขอน อยู่มาระยะหนึ่งชุมชนเกิดโรคระบาดขึ้น
ผู้คนพากันเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก ขุนขอนและชาวบ้านจึงต้องย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบันบนเนินเขาเตี้ยๆ
เรียกกันว่า “บ้านเนินพิจิตร” เทพวรรณเป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ
มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงวัว
ค้าขาย และส่วนหนึ่งเป็นหมอชาวบ้าน ช่วยเหลือคนในชุมชน
เมื่อคุณทวดแดงกับคุณทวดเสนได้แต่งงานกัน
คุณทวดเสนได้มาอยู่กับคุณทวดแดง ณ บ้านเนินพิจิตร ภภายหลังได้ให้กำเนิดบุตรธิดา
รวม 5 คน คือ นางกิ้มตุ้ง เพชรสกุล นางสาวกิ้มยก เทพวรรณ นายพุ่ม
เทพวรรณ นายเซี่ยง เทพวรรณ และเทียบ เทพวรรณ (พ่อเฒ่า) และได้สมรสกับแม่เฒ่า
อยู่กินกันที่บ้านเนินพิจิตร กำเนิดบุตรธิดา รวม 3 คนคือ นางปริศา
จุลละศร นายประวิทย์ เทพวรรณ และนางภาณุกุล ทองแกมแก้ว ซึ่งเป็นมารดาของผม
พ่อเฒ่าเล่าให้ฟังว่าตระกูลเทพวรรณ นอกจากจะมีเชื้อสายเป็นคนไทย
ฝ่ายพ่อของท่านมีเชื้อสายแขกมุสลิมเช่นกัน ฝ่ายแม่ของท่านมีเชื้อสายชาวจีนโพ้นทะเล
ส่วนคุณทวดแดงนั้น “...เป็นชาวหนองบัว (สงขลา) มีเชื้อแขก
ตอนนั้นเที่ยวเตร็จเตร่มาเรื่อย มาอยู่แบกลอด มาอยู่กับทวดพุดแก้วซึ่งเป็นแม่ท่าน
ที่บ้านเนินพิจิตร...” ปัจจุบันเราสืบไม่ได้ว่าญาติพี่น้องฝั่งนั้นมีใครบ้าง
จึงรับรู้ได้เพียงว่าทวดแดงมีเชื้อแขกมุสลิม จากบ้านหนองบัว สงขลา
ทวดเสน เรื่องเล่าขานตำนานชาวจีนแผ่นดินใหญ่
ทางบ้านมักเล่าเรื่องราวของคุณทวดคนนี้ให้ฟังอยู่เสมอ
เพราะท่านมีเชื้อสายจีนโดยตรง “...ท่านเดินทางอพยพมาจากเมืองจีน ตั้งรกรากที่บ้านทุ่งหวัง
อำเภอเมืองสงขลา มาค้าขายหมากพลู ที่หน้าวัดกลาง แบกคานหาบขายจนร่ำรวย พี่น้องทวดเป็นคนดูแล
ภายหลังได้อพยพมาอยู่ที่ป่าพลู อำเภอจะนะปัจจุบัน ภายหลังจึงได้มาแต่งงานกับทวดแดง...”
หลักฐานของการเดินทางจากประเทศจีน
เป็นเรื่องเล่าขานของตระกูล คือ ปรากฏฮวงซุ้ยขึ้นที่เนินเขาลูกหนึ่ง
ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ชื่อควนจิตร เป็นจุดฝังกระดูกบรรพบุรุษของคุณทวด
เรื่องราวของการรับรู้นี้ เกิดจากญาติพี่น้องทางฝั่งพ่อเฒ่า คิดทำบุญเพื่อตั้งศาลบรรพบุรุษขึ้นในบ้าน
ครั้งหนึ่งญาติพี่น้องได้ลงพื้นที่สำรวจสุสาน ประกอบด้วยสุสานทั้งห้า ชื่อ “
ฮุ้ยเส้ง สุยฮัก แปะต่อง สุ้ยเฮ้ง เจ้าหิ้น” สุสานเจ้าหิ้นเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุด
รวมไปถึงสุสานไม่ทราบที่มาอีกที่หนึ่ง ปรากฎอยู่หลังฮวงซุ้ยเจ้าหิ้น สุสานอื่นๆกระจายตามที่ดินต่างๆของญาติพี่น้อง
มีเรื่องเล่าว่า
สุสานเจ้าหิ้น บรรดาคอหวยหลายคน ต่างรู้กิตติศัพท์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน แต่ไม่ทราบเช่นกัน
ว่าเหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนั้นไปได้ แถมมีคนลองดีมาทำคุณไสยขึ้น
ภายหลังเข้าใจกันว่าสุสานนี้หมดความศักดิ์สิทธิ์และรกร้างไปในที่สุด แถมมีคนมาขโมยทรัพย์สินเงินทอง
ข้าวของอุทิศให้ผู้ตาย จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า เป็นเรื่องเล่ากันสืบมา ในช่วงตรุษจีนของทุกๆปีที่
บ้านป้าผมจะตั้งเครื่องบูชาแบบจีนให้กับบรรพบุรุษ
ลูกหลานทุกคนจะกลับมารวมตัวกันที่บ้านป้า เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษผู้มาจากโพ้นทะเลไกล
ที่ได้สร้างสิ่งดีๆให้กับลูกหลานเอาไว้ให้ได้อยู่ดีมีสุขมาจนถึงปัจจุบัน
แดง เสน
หมอยาประจำบ้านเนินพิจิตร
เมื่อก่อนโรงหมอ หรือโรงพยาบาลยังไม่มีเหมือนสมัยนี้
การเดินทางเข้าไปหาดใหญ่ลำบากพอสมควร การรักษาจึงต้องพึ่งพาพระบ้าง ผู้รู้ยาบ้าง ผมเคยสังเกตบนเตียงนอนพ่อเฒ่า
มีหีบเก่าๆใบหนึ่ง ภายในบรรจุตำราโบราณ เรียกว่า “บุด” หรือสมุดไทยที่ทางภาคกลางเรียกกัน ประกอบด้วย ตำรายา
ตำราดูฤกษ์ คาถาอาคม เป็นสมบัติที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน คนเฒ่าคนแก่ในชุมชน นับถือทวดทั้งสอง
ท่านมีบุญคุณต่อชาวบ้านในการรักษา บางครั้งท่านรักษาโดยไม่คิดเองเงินทอง
หวังให้ผู้ที่มารักษาได้หายจากอาการเจ็บป่วย ภายหลังวิชาความรู้ผ่านหนังสือบุด ได้ถ่ายทอดมายังพ่อเฒ่า
ท่านเล่าว่า “...ทวดพาไปอ่านหนังสือที่สวนยางตอนค่ำ ตัวต่อตัว
ลูกคนอื่นๆก็เรียนกัน...”
ปัจจุบันพ่อเฒ่าเป็นผู้ครอบครองและยังคงใช้ตำรายารักษาประกอบพิธีกรรม เช่น
ไหว้เจ้าที่ ไหว้ตายายในชุมชน เป็นต้น
ตีทองทอดน่อง ท่องไปขายเมืองไทร
อาชีพหนึ่งที่นอกจากจะเป็นหมอพื้นบ้านของทวดแดงกับทวดเสน
ท่านยังประกอบอาชีพตีทอง โดยซื้อแผ่นทองมารีดและตีทองขายตามชุมชนต่างๆไปจนถึงเมืองไทรบุรี
(ปัจจุบันเป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซีย) ส่วนใหญ่เป็นทองรูปพรรณ ประเภทเข็มขัด
สร้อยคอ มีเรื่องเกร็ดเรื่องเล่าระหว่างทวดและเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินทางไปขายทองที่เมืองไทรบุรี
ว่า “...มีโจรมาดักซุ่มจะขโมยทอง โจรคอยอยู่ที่ศาลาริมทาง ทวดรู้ทัน
จึงเสกหมากให้โจรกิน ทวดทำทีชวนคุยดี โจรเกิดผูกมิตรไม่คิดปล้น จนทวดและเพื่อนสามารถเดินทางถึงเมืองไทรบุรีอย่างปลอดภัย...”
ป้าดำเล่าเกร็ดสนุกให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งโจรเคยขึ้นบ้านจะขโมยทอง แต่ทวดจับได้ ทวดไม่คิดไม่เอาผิด เรื่องนี้คนในตระกูลรู้กันดี
เราสืบได้ว่าเป็นเครือญาติที่รู้จักกัน ทวดแดงท่าน
มีฉายาที่ลูกค้ามาทำทองเรียกกันว่า คือ “โกแดง” ตามชื่ออย่างจีน สมัยหนุ่มๆ
ทวดยังได้ตีทองเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ถวายเป็นพุทธบูชา แก่พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
สถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ชาวปักษ์ใต้มีความเชื่อที่ว่า “เกิดมาหนึ่งชาติ
ต้องไหว้พระธาตุเมืองคอน” เสมือนหนึ่งเราได้ใกล้ชิดพระพุทธองค์โดยตรง
เรื่องเล่าที่ควน
ควนเล็กๆที่ทอดยาวขนานวางตัวทิศเหนือใต้
ขวางกั้นอาณาเขตระหว่างอำเภอนาหม่อมกับอำเภอจะนะ สวนของเราอยู่ที่นั่น
บรรพบุรุษได้ริเริ่มถางป่าจับจองพื้นที่ทำกิน ป้าดำเล่าให้ฟังว่า “...ใครขยันบุกเบิกถางป่าได้มาก
ไม่ขี้เกียจ บ้านนั้นจะมีสวนมาก...” ผมคิดว่านับเป็นสัจธรรมหนึ่งของคนเรา ว่าอย่าคิดจะเฝ้ารอสิ่งของเงินทอง
สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงกระทำคือ ขวนขวายและแสวงหาอยู่เสมอ
ความรู้ก็เช่นกันถ้าเราไม่คิดจะสร้าง หนทางแห่งความสำเร็จก็จะไม่มี
สมัยเด็กๆ
ผมชอบไปเที่ยวเล่นกับญาติพี่น้องที่สวนอยู่เสมอ ที่นี่เป็นสวนผลไม่สลับกับสวนยางพารา
เรียงรายกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตา กลมกลืนกับพนาไพร ร่มไม้ใหญ่ในหุบเขา
ติดกับธารน้ำตกเล็กๆที่ไหลกั้นเขตแดนระหว่างสวนเรากับสวนเพื่อนบ้าน พ่อเฒ่าเล่าว่า
“...สมัยก่อน การเดินทางมาสวนลำบาก
มีเพียงถนนลูกรังที่เป็นเพียงทางล้อรถมอเตอร์ไซต์วิ่งได้เพียงคันเดียว สองข้างทางเป็นป่ารก
เมื่อก่อนเสียชุม มันชอบมาล่าหมูป่า ทวดและเพื่อนบ้านต้องรีบกลับก่อนมืด สมัยนั้นเป็นที่ตื่นกลัวกันเป็นอย่างมาก...”
ผมจำได้ว่า ที่สวนของเราปลูกผลไว้มากมาย
ทั้งทุเรียน เงาะ ลองกอง สะตอ เราเรียกสวนแบบนี้ว่า “สวนสมรม”
หรือสวนผสมผสาน คุณลักษณะพิเศษของสวนนี้คือสามารถให้ผลทางการเกษตรหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี
หากไม่มีบทสนทนาของหลายชาย
เรื่องราวเหล่านี้คงต้องสาบสูญไปพร้อมกับผู้ใหญ่ในบ้าน ไม่มีแม้แต่ตำนานเรื่อง “ทวด”ให้ลูกหลานได้ฟังกัน
ไม่มีแม้แต่จะรู้ชาติพันธุ์เครือเหล่าของตนว่าเป็นคนมาจากไหน ผมหวังเพียงให้สิ่งเหล่านี้
เป็นอนุสรณ์ย้อนเตือนใจให้ลูกหลานภายในบ้านทุกคนรู้จักที่มาที่ไปตน
จนไปถึงระดับครอบครัว วงศ์ตระกูลและประวัติศาสตร์เชิงสังคมได้ดียิ่งขึ้น
เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่า ได้ถ่ายทอดให้กับบุคคลในครอบครัวได้รับรู้ และเมื่อใดที่ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ระลึกนึกถึง
สิ่งดังกล่าว หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อมูลที่ดีในการศึกษาเรื่องราวในตระกูลต่อไปได้
หวังจุดประกายเรื่องราวเล็กๆของ “ทวด” ให้ได้รับรู้กันทั่วถึง
“...ผมจบบทสนทนา
แหงนหน้าขึ้นมองรูปถ่ายที่อยู่เบื้องหน้า หญิงชายวัยชราที่อมยิ้มให้กับผม
ท่านคงจะมีความสุขมากๆ แม้จะจากไปนานแล้ว
แต่รอยยิ้มที่เพริดแพร้วยังคงประจิมติดตราตรึงใจในดวงตาของผมมาจนถึงทุกวันนี้...คิดถึงทวด...”
หนังสืออ้างอิง
ประพนธ์ เรืองณรงค์, ทักษิณคดี :หนังสือบุด ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,กรุงเทพมานคร,๒๕๒๕.
ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
นายเทียบ เทพวรรณ คุณตาของข้าพเจ้า
นางสาวดำ เทพวรรณ หลานคุณตา