วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ลากพระสงขลา เขาว่าครั้งหนึ่งห้ามลากพระ !!

อ้างอิงจาก : source: James Low, 'Extracs from the journal of a political mission to the Raja of Ligor in Siam', Journal of the Asiatic Society in Bengal
ครั้งหนึ่งห้ามชาวบ้านลากพระ!!
คงเป็นที่ทราบกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวใต้ ว่าวันเเรม 1 ค่ำ เดือน 11 หลังวันออกพรรษาในทุกๆปี เป็นวัน "ลากพระ " บางท้องถิ่นก็ว่า "ชักพระ" บ้าง เป็นที่สนุกครื้นเครงของเเต่ละท้องถิ่นที่จะได้ตกเเต่งพนมพระ ตระเตรียมเครื่องบูชา เเขวนต้ม จนถึงเเห่เรือพระชักลากไปตามเส้นทางทั้งทางน้ำ ทางบก เเต่ใครจะรู้บ้างว่าครั้งหนึ่งงานประเพณีนี้ในอดีตทางราชการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนในบางพื้นลากพระหลายปีเลยทีเดียว อันเนื่องมาจากเหตุทะเลาะวิวาทกันของชาวบ้านหญิงชายเเขวงเมืองปละท่า(อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาปัจจุบัน) ข่าวทราบไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในขณะนั้น เข้าในว่าคงเป็นสมัยพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ในขณะนั้น "ออกหมายประกาศไม่ให้ลากพระ"
ความดังกล่าวนี้ประกาศอยู่ในเอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราช สมัยเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) ดำรงตำแหน่งพระวิจิตรวรสาส์น(ข้าหลวงตรวจราชการพิเศษ) เเละพระยาสุขุมนัยวินิต ตามลำดับ ร.ศ. 115-125 เรื่อง จัดราชการเมืองสงขลา วันที่ ๑๑ มีนาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๑๔ ความว่า
"อนึ่งราษฏรเมืองสงขลานิยมนับถือในการแห่พระ ถึงระดูเดือน ๑๑ ชวนกันอารธนาพระพุทธรูปลงตั้งบนรถแห่ไปตามถนนทุกๆปี ถือกันว่าทำให้ไร่นาอุดมสมบูรณ์ แต่การที่เปนมาเเล้ว มักจะเกิดเหตุวิวาทกันเสมอทุกๆราย ด้วยวิธีลากนั้นเปนช่องให้เกิดการวิวาท คือ มีเชือกลาก คือ มีเชือกลาก ๒ สาย สายหนึ่งสำหรับผู้หญิง อีกสายหนึ่งสำหรับผู้ชาย ครั้นเมื่อลากพระเฮฮากันไป สายเชือกก็เบือดเสียดกันเข้าไป หรือบางทีพวกข้างผู้ชายจะแกล้งกระทบกระเทียบสายผู้หญิงก็ถือหางเชือกชิดไป ผู้หญิงที่หลักไม่ดีล้มลงบ้าง ก็ย่อมเปนที่โทมนัศน้อยใจของพวกผู้ชายที่เปนญาติพี่น้อง ก็เกิดวิวาทขึ้น ผู้ว่าราชการเมืองจึงออกหมายประกาศห้ามให้เลิกการลากพระเสียตลอดเมืองสงขลาหลายปีมาเเล้ว เเต่ราษฎรยังมีความปรารถนาดีเสมอ ครั้นข้าพระพุทธเจ้าไปคราวนี้ ต่างคนต่างมาร้องขออนุญาตที่จะลากพระดังที่เคอยได้มาเเต่ก่อน "
ด้วยความเดือนร้อนเเละทุกข์ใจของชาวบ้านที่นับถือเเละสืบทอดประเพณีนี้มาอย่างยาวนาน มีความเชื่อว่าการได้ลากพระจะส่งผลต่อกสิกรรมที่ทำมา นั่นคือ การทำนา อย่างไรก็ตามชาวบ้านจึงอ้างว่าความเดือนร้อนนี้เนื่องด้วย "ที่ทำนาไม่บริบูรณ์มาหลายปีเเล้วนั้น ก็เพราะไม่ได้ลากพระ"
ภายหลังจึงมีการอนุญาตให้ลากพระขึ้น เเต่มีขอบเขตกำหนดมาตราการขึ้นใหม่ โดยพระวิจิตรวรสาส์น จัดการไม่ให้เกิดการวิวาทเสียใหม่ โดยให้เหตุผลว่า "เเต่ที่จะให้เเห่นั้นยอมให้เเห่ที่ตำบลละวัด ไม่ให้เเห่เพรื่อไปทุกวัดเหมือนเเต่ก่อน เวลาที่เเห่ให้เเต่งกรมการไปคอยคุมอีกชั้นหนึ่ง เเลเชือกที่จะลากนั้นมีไม้ขวางกลางเสียให้เชือกกางออกไป อย่าให้ผู้หญิงกับผู้ชายเบียดเสียดกันเข้าไปได้ เเลให้มีนายบ้านตรงกลางระหว่างเชือกด้วยอีกชั้นหนึ่ง"
ภายหลังทางการจึงมีการสร้างถนนปรับปรุงให้มีการลากพระเเละเเก้ปัญหาเสียใหม่ ให้มีการลากพระเป็นปกติดังเดิม ความเรื่องห้ามลากพระนี้ ได้รายงานไปยังกรมหมื่นราชานุภาพในขณะนั้น ดังปรากฏในหนังสือเรื่องการจัดการเมืองสงขลา กระทรวงมหาดไทย วันที่ ๑๗ เดือนเมษายน ร.ศ. ๑๑๕ ปรากฏความที่กรมดำรงรับทราบเเละอนุญาตให้ราษฏรลากพระตามเดิม ดังปรากฏในข้อที่ ๕ ว่า
"เรื่องยอมให้ราษฎรแห่ชักพระ โดยวิธีที่เเจ้งมา เเล้วว่าจะอาไศรยเอาเหตุทำถนนสองสายนั้นดีเเล้ว"

คงจะเป็นสาระดีๆที่นำมาฝากให้อ่านกันเเม้ว่าบางพื้นที่จะไม่ได้ลากพระหรือชักพระก็ตามในปีนี้ เเต่วิถีชีวิตเเละวัฒนธรรมท้องถิ่นก็ยังคงต้องสืบสานกันต่อไป ให้อยู่คู่กับท้องถิ่นภาคใต้ตราบนานเท่านาน

#อ้างอิงจาก ใน เอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ในสมัยพระยาสุขุมนัยวินิต
(ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาล ร.ศ. 115-125(พ.ศ. 2439-2449),. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, 2520.