วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครกับการพัฒนาที่ยั่งยืน

การท่องเที่ยวกับการพัฒนากรุงเทพมหานคร

หากพิจารณาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครว่าจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น ผู้ศึกษามองว่ารูปแบบกิจกรรมท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครมีหลากหลายรูปแบบ มีการดึงความโดดเด่นของพื้นที่เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับผู้คน ต่างกันเพียงรสนิยมและความสนใจในแต่ละคนหรือกลุ่มคนในการเลือกกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยสิ่งสำคัญที่ผู้ศึกษาเล็งเห็นมากที่สุดคือ ต้นทุนที่มีอยู่แต่เดิมจากฐานประวัติศาสตร์ของผู้คน ชุมชน สังคมและวัฒนธรรม แต่ลักษณะการมองของรัฐและเอกชน ยังไม่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งดังกล่าวมากนัก แต่กลับเห็นถึงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัตถุที่เป็นสิ่งใหม่ตามกระแสทุนนิยม เช่น ห้างสรรพสินค้า ได้กลายเป็นศูนย์รวมสินค้าครบวงจร ทั้งยังเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของผู้คนเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเมืองเป็นหลัก แต่หากย้อนกลับมามองตัวชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร กลับถูกละเลยหรือมีการพัฒนาแต่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ดังนั้น ทิศทางของการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร ควรที่จะใช้ทุนที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งนี้การพัฒนาต้องไม่ไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคน ถึงแม้ว่ากระแสโลกาภิวัฒน์จะทำให้สังคมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากผู้ที่เกี่ยวข้องรู้จักวิเคราะห์ ประเมินค่าและปรับตัวให้ทันกระแสดังกล่าวได้ ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการพัฒนาที่เหมาะสมและยั่งยืน สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไปในอนาคต
เมื่อกลับมาย้อนดูศักยภาพจะทำให้ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ เหมาะสมและยั่งยืน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอยู่หลายประการ กล่าวคือ ประการแรก ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานคร นับตั้งแต่ที่ตั้ง โดยมีระบบนิเวศน์ทางชีวภาพ ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูกมาตั้งแต่อดีตในฐานะย่านสวนที่สำคัญ จนถูกขนานนามว่า “สวนในบางกอก สวนนอกบางช้าง” หรือ “บางช้างสวนนอก บางกอกสวนใน”ดังปรากฏหลักฐานพื้นที่เกษตรในฝั่งธนบุรี ตลิ่งชันในปัจจุบัน ทั้งตัวพื้นที่ยังเอื้อต่อการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้คนมาอย่างยาวนาน
ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เกิดศักยภาพประการที่สอง คือ ศักยภาพของคนในหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร แน่นอนว่ากรุงเทพมหานครมีความหลากหลายของชาติพันธุ์ นับตั้งแต่กลุ่มคนไทย หรือชาวต่างชาติ เช่น กลุ่มคนจีน ลาว เขมร ญวน แขก และชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกิจกรรมทางสังคมจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจ ซึ่งจากการลงพื้นที่ศึกษา ทั้งจากโครงการผดุงกรุงเกษมศึกษา กิจกรรมลงพื้นที่ศึกษากับไฟฟ้า หรือการลงพื้นที่ศึกษาชุมชนในย่านกลุ่มชาติพันธุ์ในกรุงเทพฯ เช่น ย่านจีน ย่านแขกหรือย่านฝรั่ง ได้ชี้ให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญในอดีตของผู้คนที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทางสังคมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ศักยภาพประการสุดท้าย คือ การเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ ที่มีรากฐานมาจากตัวพื้นที่ ผู้คน ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน ดังปรากฏร่องรอยในอดีตจากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญของชาติ ในฐานะราชธานีสำคัญของประเทศไทยและมีเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คำบอกเล่าของผู้คนที่น่าสนใจ
จากศักยภาพทั้งสามประการข้างต้นนับเป็นลักษณะเด่นที่ถือเป็นต้นทุนเดิมของกรุงเทพมหานคร
แต่ในทางตรงกันข้าม ข้อบกพร่องของการพัฒนาการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ยังขึ้นกับปัจจัยภายใน  ที่เกี่ยวกับ ตัวคนในพื้นที่ หรือปัจจัยภายนอก คือ คนภายนอกพื้นที่ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ยังขาดความไม่เข้าใจบริบทในวิถีชีวิตของผู้คน สังคมและวัฒนธรรมเป็นหลัก มีการนำความเจริญต่างๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคมาสู่พื้นที่
ซึ่งไปกระทบกับสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์โดยภาพรวม เช่น การที่รัฐไม่มีมาตรการควบคุมการใช้ที่ดินอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการก่อสร้างอาคารที่ไปบดบังทัศนียภาพโดยรวม หรือบางพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพพอสมควร แต่กลไกการบริหารของผู้เกี่ยวข้องไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่ เช่น ในย่านเก่าและตามชุมชนเก่าแก่ต่างๆ หรือแม้แต่วิถีของการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นกำไรเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาภายหลัง นอกจากนี้การกำหนดแนวทางการพัฒนาของภาครัฐยังเป็นผลพวงสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับสภาวะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น มาตรการสำคัญของการพัฒนากรุงเทพมหานครควรได้รับการจัดการอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของความเข้าใจบริบททางสังคม วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน มีการบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่าย  ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ต้องเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ มีข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยใช้ระเบียบวิธี (
Methodology) ในการเข้าถึงผู้คนเน้นที่
“คนใน เพื่อคนใน” ที่เป็นข้าวของโดยตรงในการจัดการ ส่วนบทบาทของคนนอกคือให้ความรู้ชุมชน ช่วยเหลือ โดยมองว่ามีศักยภาพของคนในพื้นที่มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน พยายามทำให้คนในและคนนอกเข้าใจการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนร่วมกัน เน้นหลักการที่ไม่ได้ใช้เงินตราหรือการตลาดมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา แต่ให้เล็งเห็นถึงคุณค่าที่มีอยู่ทั้งทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงทรัพยากรที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ซึ่งหากใช้การศึกษาบริบทเพื่อนำมาจัดการท่องเที่ยวให้รอบด้าน ทั้งการลงพื้นที่สำรวจ จัดกิจกรรมสัมพันธ์ชุมชน ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนนำมาสู่แนวทางปรับปรุง พัฒนา และสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว ก็จะทำให้
เมื่อเราเข้าใจในศักยภาพ ข้อจำกัด และข้อบกพร่องของการจัดการการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดการท่องเที่ยว ประการแรกคือ การจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสมและยั่งยืน ช่วยให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าและตระหนักถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชุมชน ก่อเกิดจิตสำนึกรักษ์และภาคภูมิใจในพื้นที่ของตนมากขึ้น เช่น คนในชุมชนย่านเก่าในกรุงเทพฯ พยายามรักษาอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นเอาไว้และพร้อมที่จะให้ข้อมูลและต้อนรับผู้มาเยือนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นผลของการจัดการการท่องเที่ยวที่เหมาะสม
ประการที่สอง การจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสมและยั่งยืน ที่เน้นการบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งตัวของชาวบ้าน วัด สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐและเอกชน ก็จะทำให้การจัดการท่องเที่ยวมีกลไกขับเคลื่อนเป็นไปในทางที่ดี เป็นตัวอย่างของการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน เช่น บทบาทของนักศึกษาประวัติศาสตร์ ที่สามารถใช้ความรู้ที่ศึกษาพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน หรือบทบาทนักสถาปัตยกรรม ที่เข้ามาศึกษาผังเมือง รูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ เป็นต้น
ประการที่สาม คือ เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ที่ไม่ได้เน้นเศรษฐกิจเชิงพานิชย์หรือการตลาดแบบทุนนิยม แต่เน้นความ “พออยู่พอกิน” เพิ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะก่อเกิดงานและเศรษฐกิจให้กับคนในชุมชน เป็นการลดการทำงานนอกพื้นที่ และยังเป็นส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็ง รู้จักการใช้ศักยภาพที่มีอยู่มาพัฒนาตัวคนในชุมชน ตัวชุมชนมีรายได้และวิถีชีวิตที่ดีต่อไป
ท้ายที่สุดการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร ก้ต้องมีการพัฒนาควบคู่ไปกับส่วนอื่นๆ พร้อมกัน ทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ให้รับผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และการจัดการอย่างเหมาะสมและยั่งยืนดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างจริงจัง ก็จะทำให้กรุงเทพเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งการเรียนรู้ เพราะศักยภาพของกรุงเทพมหานครมีความโดดเด่นรอบด้าน ทั้งนี้ยังมีสัญญาณที่ดีที่ผู้ศึกษาได้รับจากการลงพื้นที่และทำกิจกรรมร่วมกับองค์กรภายนอก โดยเฉพาะเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ที่มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมกับภาคประชาสังคมมากขึ้น เป็นการนำคนภายนอกเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรมของผู้คน ซึ่งลักษณะการท่องเที่ยวดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งผู้ศึกษาคิดว่าการท่องเที่ยวดังกล่าวเป็นการท่องเที่ยวที่มาเรียนรู้ร่วมกัน และการได้ลงพื้นที่ก็ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับคนในพื้นที่ เช่น กรณีศึกษาเรียนรู้ในโครงการ “ผดุงกรุงเกษมศึกษา” ซึ่งในวันสุดท้ายของการทำกิจกรรม มีการแสดงความคิดเห็นระหว่างสมาชิกร่วมกิจกรรม ภาครัฐและเอกชน นิสิตนักศึกษา และเครือข่ายภาคประชาสังคมในการแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ อย่างสร้างสรรค์ เป็นการท่องเที่ยวแบบเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในพื้นที่และคนภายนอก ถือเป็นเสน่ห์ของการพัฒนาและการจัดการการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจที่สามารถทำให้“สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ” ร่วมกัน
กล่าวโดยสรุปการท่องเที่ยวกับการพัฒนากรุงเทพมหานคร ให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวเรียนรู้ ควรที่จะมีการพัฒนาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจในศักยภาพของพื้นที่ที่มีอยู่ นั่นคือ ต้นทุนเดิมที่มีอยู่ ทั้งกายภาพที่ตั้ง ผู้คน และความเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ ในขณะเดียวกันการพัฒนาที่ดีก็ควรศึกษาข้อจำกัดและข้อบกพร่องการพัฒนาการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน ทั้งนี้ศาสตร์ความรู้และสหวิชาแขนงต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์เข้ากับบริบทการท่องเที่ยว หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มของประชาสังคม เพื่อกำหนดกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนา ที่เน้น “คนใน เพื่อคนใน” โดยได้ประโยชน์ร่วมกัน มีลักษณะที่เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ดังนั้น ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครขึ้นอยู่กับทุกคนและทุกฝ่าย เรียนรู้และเข้าใจถึงบริบททางสังคมของพื้นที่ ทั้งตัววิถีชีวิต วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ร่วมกัน จึงจะสามารถทำให้การท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครมีความเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป




แหล่งอ้างอิง
กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. โครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน บ้านบุฯ. กรุงเทพฯ: 2550 (พิมพ์เนื่องในกิจกรรมแนะนำโครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน บ้านบุฯ ณ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2550 )
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. “เพราะประวัติศาสตร์ คืองานที่รัก.” Bangkok Focus : กรุงเทพฯ มหานครอาเซียน (8, 2557) : 52.
อิทธิกร ทองแกมแก้ว. สมุดจดบันทึกในรายวิชา 350322 ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ กับการท่องเที่ยว


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โบสถ์กลางน้ำ : กรณีศึกษาโบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด ความเชื่อพุทธกับผี

โบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด ความเชื่อพุทธกับผี
บทนำ
          ในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น หัวใจสำคัญของการศึกษาคือ ชี้ให้เห็นถึงเอกภาพที่ท้องถิ่นนั้นมีการเคลื่อนไหวกระทำการด้วยตนเอง แสดงถึงตัวตนและความมีชีวิตด้วยตัวเองระดับหนึ่งของท้องถิ่นนั้นๆสามารถเห็นมุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน[1]  ผ่านระบบความเชื่อร่วมกันของคนในชุมชน โดยมองผ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์จากภายในหรือคนในที่มีจิตสำนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน
จากการลงพื้นที่ศึกษาชุมชนบ้านหนองบัวสด หมู่ที่ 5 ตำบลป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นับตั้งแต่กระบวนการตั้งหมู่บ้าน การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนจากอดีตจวบจนปัจจุบัน ทำให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญของชุมชน โดยเฉพาะการเอาชื่อสถานที่หรือภูมิลักษณ์ของท้องถิ่นมาตั้งชื่อหมู่บ้าน ทั้งยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชน มีการผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมและความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จาก “บ้านโบสถ”  จนมาเป็น “บ้านหนองบัวสด” ซึ่งทั้งสองชื่อนี้ น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญกับ  “โบสถ์กลางน้ำ”  ที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน ทำให้ผู้ศึกษาเกิดความสนใจในการศึกษาแง่ของประวัติสถานที่ ความเชื่อ ตลอดจนประเพณีและความสัมพันธ์ของชาวบ้านกับสถานที่ดังกล่าว

โบสถ์กลางน้ำความหมายและความสำคัญ
            โบสถ์กลางน้ำ หมายถึง สีมาหรือ ขอบเขต เพื่อที่จะกำหนดขอบเขตดังกล่าวให้ชัดเจน มีวัตถุอันเป็นเครื่องหมายที่แสดงขอบเขนโดยในที่นี้ คือมีน้ำโอบล้อม ในสมัยพุทธกาลโบสถ์กลางน้ำ ถือเป็นอพัทธสีมา ไม่ต้องมีการกำหนดเขต แต่ยึดหลักชุมชน ธรรมชาติกำหนด ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในพุทธบัญญัติเรื่อง อุระโบสถกฺขนฺธกํ ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาคที่ ๑[2] ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า อุทกุกเขปสีมา เป็นเขตที่กำหนดให้มีน้ำล้อมรอบชั่ววิดน้ำสาด คือประมาณ ๗-๘ เมตร ตามที่พระบาลีกำหนดดังนี้ แม้โบสถ์สีมาน้ำก็จะต้องมีขอบเขตของน้ำล้อมรอบพอสมควร จะทำแคบๆขนาดท้องร่องหรือคลองเล็กๆไม่ได้ ผิดพระวินัย [3]  ส่วนในแง่ความสำคัญของโบสถ์กลางน้ำ ถือเป็นคติที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝ่ายลังกา โดยเฉพาะการกำหนดพื้นที่บวชของพระภิกษุสงฆ์ให้มีความบริสุทธิ์มากที่สุด[4] และนับเป็นสถานที่ของการประกอบสังฆกรรมของสงฆ์อีกด้วย


โบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด  : ที่มาและความสำคัญ
ที่มาของโบสถกลางน้ำแห่งบ้านหนองบัวสด ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด จากคำบอกเล่าของนายไสว บุญไชย และนายประเศษ อาจุมปา แห่งบ้านหนองบัวสดให้ข้อมูลว่าโบสถ์แห่งนี้ มีมาตั้งแต่สร้างหมู่บ้านขึ้นราว พ.ศ. 2401 เดิมเป็นที่ประชุมสงฆ์ มีอายุหลายร้อยปี เป็นศูนย์รวมเก่าแก่ของตำบลป่าสัก เป็นที่สถิตของเจ้าพ่อสำคัญของหมู่บ้าน อาทิ เจ้าพ่อเสือ ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่า ชุมชนนี้สมัยก่อนเป็นป่า เสือชุกชุม ภายหลังได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาขึ้นเป็นวัด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์กลางน้ำ สอดคล้องกับประวัติชุมชนที่ได้จากศูนย์เรียนรู้ชุมชนว่า
“...บ้านหนองบัวสด ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2401 เดิมชื่อบ้านโบสถ สาเหตุที่ได้ชื่อว่าบ้านโบสถสันนิษฐานว่า บริเวณที่ตั้งของหมู่บ้านมีอุโบสถตั้งอยู่กลางหนองน้ำ (ปัจจุบันยังอยู่) ต่อมาราวรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ตั้งนามสกุล ขึ้นทางหมู่บ้านนี้ จึงมีการใช้นามสกุล พรมเมืองเพราะผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ นายพรม ส่วนภรรยาชื่อ นางเมือง และให้ลูกบ้านใช้สืบมาและเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากโบสถ เป็นบ้านหนองบัวสดจนถึงปัจจุบัน...”
นอกจากนี้ในหนังสือชื่อหมู่บ้านในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้ให้ข้อมูลที่มาของชื่อหมู่บ้านว่า “มีบ้านไม้สักตั้งอยู่กลางหนองบัว เป็นที่ตั้งของเจ้าพ่อหนองบัวสด [5] โดยเมื่อเทียบกับประวัติชุมชนจากศูนย์เรียนรู้ เห็นได้ว่า การปรากฎชื่อของเจ้าพ่อมีขึ้นมาภายหลัง ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนหน้าที่จากพุทธมาสู่ผี ให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ผ่านเจ้าพ่อที่รักษาหนองน้ำคู่กับโบสถกลางน้ำ จนกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านหนองบัวสดสืบมาจนถึงปัจจุบัน


ความสำคัญของโบสถ์กลางน้ำ บ้านหนองบัวสด จากพุทธสู่ผี
จากชื่อหมู่บ้านได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโบสถ์แห่งนี้ มีความเชื่อร่วมกันระหว่างความเป็นพุทธและความเป็นผี ในแง่ของความเป็นศาสนสถานของพุทธ สังเกตได้จากชื่อเก่าของหมู่บ้านประการหนึ่งและจากคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่นที่เล่าว่าสมัยก่อนพระสงฆ์ตำบลป่าสักจะมาทำสังฆกรรมกันที่แห่งนี้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบโดยการแทนที่ด้วยผีท้องถิ่น ส่วนในแง่ของความเป็นผี ปรากฏชื่อเจ้าพ่อของหมู่บ้าน คือ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อหนองบัวสด สถิตย์อยู่ในโบสถ์ ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบพื้นถิ่นไทยภาคเหนือ สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่ในบึงที่เรียกว่าหนองบัวสด เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีมาแต่เดิม ดังนั้นลักษณะของโบสถ์แห่งนี้มีการผสมผสานระหว่างความเชื่อพุทธกับผีที่ถูกทำหน้าที่และให้ความสำคัญในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชุมชน


ประเพณี พิธีกรรม สงกรานต์ สืบสานพิธีทรงเจ้าพ่อโบสถ์กลางน้ำ
            ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี จะมีการประกอบพิธีกรรมสำคัญ คือ เซ่นไหว้เจ้าพ่อด้วยไก่ต้ม ข้าวตอกดอกไม้ และเหล้าแดง นายไสว บุญไชยเล่าให้ฟังว่าความเชื่อนี้มาจากความชอบของตัวเจ้าพ่อ ผนวกกับความเชื่อทั่วไปที่ถือว่าสิ่งของเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นสิริมงคลให้แก่พิธีกรรมให้แก่การเข้าทรงต่างๆอีกด้วย[6] ตลอดจนการประกอบพิธีเข้าทรงเจ้าพ่อ ที่น่าสนใจคือ คนทรงจะเป็นผู้หญิง นายไสว บุญไชย เล่าให้ฟังว่าวิธีการเลือกคนทรงจะเลือกกันในงาน โดยคนที่ถูกทรงเป็นเจ้าพ่อจะเป็นคนเลือกทรงเอง และใครที่โดนก็ต้องรับช่วงต่อปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่ตัวผีที่อารักษ์อยู่ประจำตัวโบสถ์มีสถานภาพเป็นเจ้าพ่อ ซึ่งตรงนี้นับเป็นกระบวนการที่ถูกประกอบสร้างขึ้นใหม่โดยใช้องค์ความรู้ทางเพศและการเชื่อมโยงกับการปฏิบัติที่หลากหลายแบบใหม่ ถูกแสดงให้เห็นถึงผีซึ่งกำลังเข้าทรงเหล่านี้มักเป็นผีเพศชายที่ทรงอำนาจ[7]และถูกรองรับด้วยเพศหญิง ซึ่งเราจะพบอีกว่าตัวความเชื่อแบบนี้เป็นการที่ผีครอบความเชื่อทางศาสนาพุทธเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ให้กับตัวพื้นที่ ที่สำคัญถึงแม้ชื่อโบสถ์กลางน้ำ แต่ในช่วงสงกรานต์จะไม่มีพิธีการทางศาสนาพุทธ เพราะถ้าสังเกตบริเวณใกล้โบสถกลางน้ำจะมีวัดหนองบัวสดซึ่งเป็นศูนย์รวมของการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาของชาวบ้านตั้งอยู่


การมีส่วนร่วมของชุมชนและการเปลี่ยนแปลงของโบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด
          โบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด มีกระบวนการการจัดการของชุมชนด้วยวิธีการของชาวบ้าน ผ่านการมีส่วนร่วมกันของคนในชุมชน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของโบสถ์กลางน้ำที่สำคัญ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

          การมีส่วนร่วมของชุมชน
การสร้างโบสถ์กลางน้ำแห่งนี้ คงจะเป็นกระบวนการเรียนรู้ของคนในชุมชนในการสร้างจิตสำนึกร่วมกัน โดยมีจุดสำคัญอยู่ที่อำนาจควบคุมพฤติกรรมในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งมีอำนาจสำคัญอยู่ด้วยกันสองอย่างคือ อำนาจศักดิ์สิทธิ์กับอำนาจสาธารณะ ทั้งสองเป็นสิ่งที่อยู่ในสำนึกของความเป็นมนุษย์ อำนาจแรกมีที่มาจากความเชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์เชื่อและสมมุติขึ้นมา ผนวกกับสถาบันทางสังคมที่ธำรงอำนาจนี้ คือ พระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นสถาบันสากลของมนุษยชาติ โดยมีหน้าที่สำคัญคือการจรรโลงศีลธรรม ส่วนอำนาจสาธารณะ คืออำนาจที่มาจากตำแหน่งการงานและเงินตราของมนุษย์
บ้านหนองบัวสด คงมีความคล้ายคลึงกับสังคมท้องถิ่นไทยอื่นๆ ที่แต่เดิมดำรงอยู่ด้วยด้วยดุลยภาพของอำนาจทั้งสองนี้ ดังจะเห็นได้จากทุกหน่วยของสังคม ไม่ว่าหน่วยครัวเรือน หมู่บ้านและท้องถิ่น จะมีความสัมพันธ์กับอำนาจนอกเหนือธรรมชาติ มีการผสมผสานความเชื่อพุทธกับผี เห็นได้จากการการประกอบพิธีกรรมผ่านประเพณีสงกรานต์ร่วมกัน ทำให้คนในชุมชนเกิดการยอมรับจารีตและขนบธรรมเนียม ตลอดจนข้อห้ามเดียวกัน ที่สำคัญมีการสร้างจิตสำนึกร่วมเดียวกัน ผ่านเรื่องเล่าและตำนานของท้องถิ่น ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การสร้างเรื่องราวให้มีเจ้าพ่อสำคัญของหมู่บ้าน มีการประทับร่างทรงที่โบสถ์กลางน้ำ สิ่งดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็นแก่นแท้ของสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพราะเป็นอดีตที่ชาวบ้านในท้องถิ่นร่วมกันสร้างขึ้นมา[8]
ถ้าหากสังเกตการมีส่วนร่วมของผู้คน จากคำบอกเล่าของพ่ออุ้ยในการลงพื้นที่โบสถ์กลางน้ำแห่งนี้ ผู้ศึกษาพบว่า กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนสำคัญ คือ หัวหน้าชุมชนและชาวบ้าน ผู้เฒ่าที่แก่ที่มีสำนึกร่วมต่อความศรัทธาต่อเจ้าพ่อ โดยการร่วมกันดูแลโบสถ์ มีการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอมาและยังคงสืบสานงานประเพณีที่เกี่ยวกับโบสถ์แห่งนี้ 

การเปลี่ยนแปลงของโบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ ความหลากหลายด้านความเชื่อของตัวชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธ กล่าวคือ ความเชื่อหลักที่เป็นธรรมมะได้ถูกผสมผสานกับลัทธิพราหมณ์และความเชื่อทางไสยศาสตร์หรือผีสางเทวดา ทำให้ผู้ที่ยึดถือและปฏิบัติคือตัวชาวบ้านไม่อาจแยกออกได้ว่า ส่วนใดเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาและส่วนใดเป็นส่วนความเชื่อเรื่องผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งยังรวมไปถึงการเซ่นไหว้และการเข้าทรง[9] สังเกตได้ชัดเจนจากบริเวณข้างเคียงจะเป็นวัดประจำหมู่บ้าน  ซึ่งก่อนหน้านั้น โบสถ์กลางน้ำได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจทางพุทธศาสนาเพียงแห่งเดียว เมื่อเกิดการสร้างวัดขึ้น จึงมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ระหว่างตัววัดและตัวโบสถ์
การเปลี่ยนแปลงประการต่อมา การเข้าร่วมประกอบพิธีกรรม ซึ่งจากคำบอกเล่าผู้รู้ในชุมชนยังสังเกตได้ว่า ผู้เข้าร่วมพิธีนอกจากจะเป็นคนในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง ยังมีกลุ่มคนจากภายนอกโดยเฉพาะคนกรุงเทพเข้าร่วมพิธีด้วย ตรงนี้ยังให้เห็นถึงความเชื่อที่เป็นความเชื่อของชุมชนถูกแพร่กระจายและถูกรับรู้ไปยังคนนอกมากยิ่งขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ซึ่งหากชุมชนไม่มีการบริหารจัดการ ก็อาจจะมีการถูกปรับรูปแบบเดิมและเพิ่มสิ่งใหม่เข้ามา เช่น ถูกเพิ่มบทบาทเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งนอกจากนี้การสืบทอดความเชื่อที่เกี่ยวกับโบสถ์ของคนในชุมชนนั้น ที่สืบทอดมาตั้งแต่คนรุ่นเก่าและยังคงดำเนินมาสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งผู้คนที่มีร่วมอาจจะไม่ได้มีความเชื่อมาแต่เดิม แต่ถูกปลูกฝังให้สืบทอดกันต่อมาโดยการชักจูงจากผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมาแต่เดิม
ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนคือ มีการสร้างศาลเจ้าพ่อใหม่ใกล้เคียงขึ้นมาทดแทน เหตุผลคือ เพื่อความสะดวกต่อผู้มากราบไหว้และเพื่อลดความเสียหายจากการเข้าไปสู่ตัวโบสถ์ที่เป็นเรือนไม้เก่าแก่ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในแง่ของกายภาพพื้นที่ โดยมีการปรับสภาพโดยรอบ เห็นได้ชัดเจนจากการก่อสร้างถนน ตัวบ้านเรือนของชาวบ้าน ได้ไปลดคติดั้งเดิมของโบสถ์แห่งนี้ ในอนาคตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ชุมชนจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ของกระแสดังกล่าว
กล่าวโดยสรุป โบสถ์กลางน้ำบ้านหนองบัวสด มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนบ้านหนองบัวดในฐานะศูนย์รวมใจประจำหมู่บ้าน มีลักษณะเด่นของการผสมผสานของพุทธและผี ผ่านรูปแบบประเพณีและพิธีกรรม ตลอดจนมีความสำคัญในฐานะชื่อและที่มาของหมู่บ้านแห่งนี้ รวมไปถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อตัวโบสถ์ อันจะสามารถทราบเรื่องราวและความเป็นมา เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจและความภาคภูมิใจในการเรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ผู้สนใจและท้องถิ่นดังกล่าวสืบไป


บรรณานุกรม
บทสัมภาษณ์
นายไสว บุญไชย อายุ 75 ปี เป็นคนจังหวัดลำพูน ได้ภรรยาเป็นคนเชียงแสน มีลูก 2 คน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำนา ทำไร่ ตอนอยู่ลำพูนประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป
นายประสิทธิ์  อาจุมปา (เป็นคนในท้องที่โดยกำเนิด อายุ 47 ปี ) ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5
หนังสืออ้างอิง
ชิเกฮารุ ทานาเบ ,รวมบทความแปล พิธีกรรมและปฏิบัติการในสังคมชาวนาภาคเหนือของประเทศไทย ,เชียงใหม่ ,ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2555.
นิภาวรรณ วิรัชนิภาวรรณ , วิรัช นิวิรัชนิภาวรรณ ,การเข้าทรงและร่างทรง : ความเชื่อ พิธีกรรมและบทบาทที่มีต่อสังคม ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ,2533.
พิทยา บุนนาค , เสมา สีมา หลักสีมาในศิลปะไทย สมัยอยุธยาช่วงหลังเสียกรุงครั้งแรกถึงครึ่งหลัง และธนบุรี ,โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , กรุงเทพฯ .
ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม , รองศาสตราจารย์ พัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรมไทย , กรุงเทพ ฯ , เมืองโบราณ, 2554.
สรบุศย์ รุ่งโรจน์สุวรรณ และ รุ่งวิมล รุ่งโรจน์สุวรรณ , ชื่อหมู่บ้านในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ,เชียงราย : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, 2551.
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ , ประวัติศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำท่าจีน , กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์ , 2554 .
อานันท์ กาญจนพันธุ์ เจ้าที่และผีปู่ย่า : พลวัตของความรู้ชาวบ้าน อำนาจ และตัวตนของคนท้องถิ่น , คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2555.





[1] สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์ , ประวัติศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำท่าจีน , กรุงเทพฯ :สร้างสรรค์ , 2554 , หน้า 11 .
[2] น ณ ปากน้ำ , สีมากถา สมุดข่อยวัดสุทัศนเทพวราราม , กรุงเทพฯ ,เมืองโบราณ  , 2540 ,หน้า 2 .
[3] เรื่องเดียวกัน ,หน้า 18 19 .
[4] เข้าถึงเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558, เรื่องคติที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝ่ายลังกา, จาก : http://travel.thaiza.com.
[5] สรบุศย์ รุ่งโรจน์สุวรรณ และ รุ่งวิมล รุ่งโรจน์สุวรรณ , ชื่อหมู่บ้านในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ,เชียงราย : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, 2551. หน้า 88-89.
[6] นิภาวรรณ วิรัชนิภาวรรณ , วิรัช นิวิรัชนิภาวรรณ ,การเข้าทรงและร่างทรง : ความเชื่อ พิธีกรรมและบทบาทที่มีต่อสังคม ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ,2533. หน้า 73.
[7] ชิเกฮารุ ทานาเบ ,รวมบทความแปล พิธีกรรมและปฏิบัติการในสังคมชาวนาภาคเหนือของประเทศไทย ,เชียงใหม่ ,ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2555. หน้า 158.
[8] ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม , รองศาสตราจารย์ ,  พัฒนาการทางสังคม – วัฒนธรรมไทย , กรุงเทพ ฯ , เมืองโบราณ, 2554 หน้า 196 -197 .
[9] นิภาวรรณ วิรัชนิภาวรรณ , วิรัช นิวิรัชนิภาวรรณ ,การเข้าทรงและร่างทรง : ความเชื่อ พิธีกรรมและบทบาทที่มีต่อสังคม ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ,2533. หน้า 21 .