การท่องเที่ยวกับการพัฒนากรุงเทพมหานคร
หากพิจารณาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครว่าจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น
ผู้ศึกษามองว่ารูปแบบกิจกรรมท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครมีหลากหลายรูปแบบ มีการดึงความโดดเด่นของพื้นที่เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับผู้คน
ต่างกันเพียงรสนิยมและความสนใจในแต่ละคนหรือกลุ่มคนในการเลือกกิจกรรมการท่องเที่ยว
โดยสิ่งสำคัญที่ผู้ศึกษาเล็งเห็นมากที่สุดคือ ต้นทุนที่มีอยู่แต่เดิมจากฐานประวัติศาสตร์ของผู้คน
ชุมชน สังคมและวัฒนธรรม แต่ลักษณะการมองของรัฐและเอกชน ยังไม่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งดังกล่าวมากนัก
แต่กลับเห็นถึงการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัตถุที่เป็นสิ่งใหม่ตามกระแสทุนนิยม
เช่น ห้างสรรพสินค้า ได้กลายเป็นศูนย์รวมสินค้าครบวงจร ทั้งยังเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของผู้คนเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเมืองเป็นหลัก
แต่หากย้อนกลับมามองตัวชุมชนหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร กลับถูกละเลยหรือมีการพัฒนาแต่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร
ดังนั้น ทิศทางของการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร
ควรที่จะใช้ทุนที่มีอยู่แต่เดิม ทั้งนี้การพัฒนาต้องไม่ไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคน
ถึงแม้ว่ากระแสโลกาภิวัฒน์จะทำให้สังคมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หากผู้ที่เกี่ยวข้องรู้จักวิเคราะห์ ประเมินค่าและปรับตัวให้ทันกระแสดังกล่าวได้ ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่ง
ซึ่งจะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการพัฒนาที่เหมาะสมและยั่งยืน สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ
ต่อไปในอนาคต
เมื่อกลับมาย้อนดูศักยภาพจะทำให้ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ
เหมาะสมและยั่งยืน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่มีอยู่หลายประการ กล่าวคือ ประการแรก ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานคร
นับตั้งแต่ที่ตั้ง โดยมีระบบนิเวศน์ทางชีวภาพ
ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและการเพาะปลูกมาตั้งแต่อดีตในฐานะย่านสวนที่สำคัญ
จนถูกขนานนามว่า “สวนในบางกอก สวนนอกบางช้าง” หรือ “บางช้างสวนนอก
บางกอกสวนใน”ดังปรากฏหลักฐานพื้นที่เกษตรในฝั่งธนบุรี ตลิ่งชันในปัจจุบัน
ทั้งตัวพื้นที่ยังเอื้อต่อการสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ให้กับผู้คนมาอย่างยาวนาน
ลักษณะทางกายภาพของกรุงเทพมหานคร
ส่งผลให้เกิดศักยภาพประการที่สอง คือ ศักยภาพของคนในหรือผู้คนในกรุงเทพมหานคร
แน่นอนว่ากรุงเทพมหานครมีความหลากหลายของชาติพันธุ์ นับตั้งแต่กลุ่มคนไทย
หรือชาวต่างชาติ เช่น กลุ่มคนจีน ลาว เขมร ญวน แขก และชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำกิจกรรมทางสังคมจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจ
ซึ่งจากการลงพื้นที่ศึกษา ทั้งจากโครงการผดุงกรุงเกษมศึกษา
กิจกรรมลงพื้นที่ศึกษากับไฟฟ้า หรือการลงพื้นที่ศึกษาชุมชนในย่านกลุ่มชาติพันธุ์ในกรุงเทพฯ
เช่น ย่านจีน ย่านแขกหรือย่านฝรั่ง ได้ชี้ให้เห็นถึงร่องรอยความเจริญในอดีตของผู้คนที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทางสังคมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ศักยภาพประการสุดท้าย
คือ การเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ ที่มีรากฐานมาจากตัวพื้นที่ ผู้คน ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนาน
ดังปรากฏร่องรอยในอดีตจากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญของชาติ
ในฐานะราชธานีสำคัญของประเทศไทยและมีเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
คำบอกเล่าของผู้คนที่น่าสนใจ
จากศักยภาพทั้งสามประการข้างต้นนับเป็นลักษณะเด่นที่ถือเป็นต้นทุนเดิมของกรุงเทพมหานคร
แต่ในทางตรงกันข้าม ข้อบกพร่องของการพัฒนาการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ยังขึ้นกับปัจจัยภายใน ที่เกี่ยวกับ ตัวคนในพื้นที่ หรือปัจจัยภายนอก คือ คนภายนอกพื้นที่ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ยังขาดความไม่เข้าใจบริบทในวิถีชีวิตของผู้คน สังคมและวัฒนธรรมเป็นหลัก มีการนำความเจริญต่างๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคมาสู่พื้นที่
ซึ่งไปกระทบกับสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์โดยภาพรวม เช่น การที่รัฐไม่มีมาตรการควบคุมการใช้ที่ดินอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการก่อสร้างอาคารที่ไปบดบังทัศนียภาพโดยรวม หรือบางพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพพอสมควร แต่กลไกการบริหารของผู้เกี่ยวข้องไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่ เช่น ในย่านเก่าและตามชุมชนเก่าแก่ต่างๆ หรือแม้แต่วิถีของการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นกำไรเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาภายหลัง นอกจากนี้การกำหนดแนวทางการพัฒนาของภาครัฐยังเป็นผลพวงสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับสภาวะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น มาตรการสำคัญของการพัฒนากรุงเทพมหานครควรได้รับการจัดการอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของความเข้าใจบริบททางสังคม วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน มีการบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่าย ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ต้องเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ มีข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยใช้ระเบียบวิธี (Methodology) ในการเข้าถึงผู้คนเน้นที่
“คนใน เพื่อคนใน” ที่เป็นข้าวของโดยตรงในการจัดการ ส่วนบทบาทของคนนอกคือให้ความรู้ชุมชน ช่วยเหลือ โดยมองว่ามีศักยภาพของคนในพื้นที่มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน พยายามทำให้คนในและคนนอกเข้าใจการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนร่วมกัน เน้นหลักการที่ไม่ได้ใช้เงินตราหรือการตลาดมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา แต่ให้เล็งเห็นถึงคุณค่าที่มีอยู่ทั้งทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงทรัพยากรที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ซึ่งหากใช้การศึกษาบริบทเพื่อนำมาจัดการท่องเที่ยวให้รอบด้าน ทั้งการลงพื้นที่สำรวจ จัดกิจกรรมสัมพันธ์ชุมชน ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนนำมาสู่แนวทางปรับปรุง พัฒนา และสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว ก็จะทำให้
แต่ในทางตรงกันข้าม ข้อบกพร่องของการพัฒนาการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร ยังขึ้นกับปัจจัยภายใน ที่เกี่ยวกับ ตัวคนในพื้นที่ หรือปัจจัยภายนอก คือ คนภายนอกพื้นที่ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ยังขาดความไม่เข้าใจบริบทในวิถีชีวิตของผู้คน สังคมและวัฒนธรรมเป็นหลัก มีการนำความเจริญต่างๆ ที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคมาสู่พื้นที่
ซึ่งไปกระทบกับสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์โดยภาพรวม เช่น การที่รัฐไม่มีมาตรการควบคุมการใช้ที่ดินอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการก่อสร้างอาคารที่ไปบดบังทัศนียภาพโดยรวม หรือบางพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพพอสมควร แต่กลไกการบริหารของผู้เกี่ยวข้องไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่ เช่น ในย่านเก่าและตามชุมชนเก่าแก่ต่างๆ หรือแม้แต่วิถีของการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นกำไรเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาภายหลัง นอกจากนี้การกำหนดแนวทางการพัฒนาของภาครัฐยังเป็นผลพวงสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับสภาวะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น มาตรการสำคัญของการพัฒนากรุงเทพมหานครควรได้รับการจัดการอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของความเข้าใจบริบททางสังคม วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คน ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน มีการบูรณาการร่วมกันของทุกฝ่าย ดังนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดการ ต้องเข้าใจและเข้าถึงพื้นที่ มีข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยใช้ระเบียบวิธี (Methodology) ในการเข้าถึงผู้คนเน้นที่
“คนใน เพื่อคนใน” ที่เป็นข้าวของโดยตรงในการจัดการ ส่วนบทบาทของคนนอกคือให้ความรู้ชุมชน ช่วยเหลือ โดยมองว่ามีศักยภาพของคนในพื้นที่มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน พยายามทำให้คนในและคนนอกเข้าใจการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนร่วมกัน เน้นหลักการที่ไม่ได้ใช้เงินตราหรือการตลาดมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา แต่ให้เล็งเห็นถึงคุณค่าที่มีอยู่ทั้งทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงทรัพยากรที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม ซึ่งหากใช้การศึกษาบริบทเพื่อนำมาจัดการท่องเที่ยวให้รอบด้าน ทั้งการลงพื้นที่สำรวจ จัดกิจกรรมสัมพันธ์ชุมชน ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนนำมาสู่แนวทางปรับปรุง พัฒนา และสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว ก็จะทำให้
เมื่อเราเข้าใจในศักยภาพ
ข้อจำกัด และข้อบกพร่องของการจัดการการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้เห็นถึงประโยชน์ของการจัดการท่องเที่ยว
ประการแรกคือ การจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสมและยั่งยืน ช่วยให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าและตระหนักถึงรากเหง้าทางประวัติศาสตร์
วิถีชีวิต ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชุมชน
ก่อเกิดจิตสำนึกรักษ์และภาคภูมิใจในพื้นที่ของตนมากขึ้น เช่น
คนในชุมชนย่านเก่าในกรุงเทพฯ
พยายามรักษาอัตลักษณ์ของคนในท้องถิ่นเอาไว้และพร้อมที่จะให้ข้อมูลและต้อนรับผู้มาเยือนอยู่เสมอ
ซึ่งเป็นผลของการจัดการการท่องเที่ยวที่เหมาะสม
ประการที่สอง
การจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสมและยั่งยืน ที่เน้นการบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งตัวของชาวบ้าน
วัด สถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐและเอกชน
ก็จะทำให้การจัดการท่องเที่ยวมีกลไกขับเคลื่อนเป็นไปในทางที่ดี เป็นตัวอย่างของการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน
เช่น บทบาทของนักศึกษาประวัติศาสตร์ ที่สามารถใช้ความรู้ที่ศึกษาพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของชุมชน
หรือบทบาทนักสถาปัตยกรรม ที่เข้ามาศึกษาผังเมือง รูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ เป็นต้น
ประการที่สาม
คือ เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน
ที่ไม่ได้เน้นเศรษฐกิจเชิงพานิชย์หรือการตลาดแบบทุนนิยม แต่เน้นความ “พออยู่พอกิน”
เพิ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะก่อเกิดงานและเศรษฐกิจให้กับคนในชุมชน เป็นการลดการทำงานนอกพื้นที่
และยังเป็นส่งเสริมชุมชนให้มีความเข้มแข็ง รู้จักการใช้ศักยภาพที่มีอยู่มาพัฒนาตัวคนในชุมชน
ตัวชุมชนมีรายได้และวิถีชีวิตที่ดีต่อไป
ท้ายที่สุดการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร
ก้ต้องมีการพัฒนาควบคู่ไปกับส่วนอื่นๆ พร้อมกัน
ทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ให้รับผลกระทบต่อการท่องเที่ยว
และการจัดการอย่างเหมาะสมและยั่งยืนดังที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น
ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างจริงจัง ก็จะทำให้กรุงเทพเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งการเรียนรู้
เพราะศักยภาพของกรุงเทพมหานครมีความโดดเด่นรอบด้าน ทั้งนี้ยังมีสัญญาณที่ดีที่ผู้ศึกษาได้รับจากการลงพื้นที่และทำกิจกรรมร่วมกับองค์กรภายนอก
โดยเฉพาะเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาสังคม ที่มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมกับภาคประชาสังคมมากขึ้น
เป็นการนำคนภายนอกเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตวัฒนธรรมของผู้คน ซึ่งลักษณะการท่องเที่ยวดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ซึ่งผู้ศึกษาคิดว่าการท่องเที่ยวดังกล่าวเป็นการท่องเที่ยวที่มาเรียนรู้ร่วมกัน
และการได้ลงพื้นที่ก็ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับคนในพื้นที่ เช่น กรณีศึกษาเรียนรู้ในโครงการ
“ผดุงกรุงเกษมศึกษา” ซึ่งในวันสุดท้ายของการทำกิจกรรม มีการแสดงความคิดเห็นระหว่างสมาชิกร่วมกิจกรรม
ภาครัฐและเอกชน นิสิตนักศึกษา และเครือข่ายภาคประชาสังคมในการแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ
อย่างสร้างสรรค์ เป็นการท่องเที่ยวแบบเรียนรู้ร่วมกันระหว่างคนในพื้นที่และคนภายนอก
ถือเป็นเสน่ห์ของการพัฒนาและการจัดการการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจที่สามารถทำให้“สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ”
ร่วมกัน
กล่าวโดยสรุปการท่องเที่ยวกับการพัฒนากรุงเทพมหานคร
ให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวเรียนรู้
ควรที่จะมีการพัฒนาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจในศักยภาพของพื้นที่ที่มีอยู่
นั่นคือ ต้นทุนเดิมที่มีอยู่ ทั้งกายภาพที่ตั้ง ผู้คน
และความเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์
ในขณะเดียวกันการพัฒนาที่ดีก็ควรศึกษาข้อจำกัดและข้อบกพร่องการพัฒนาการท่องเที่ยวไปพร้อมกัน
ทั้งนี้ศาสตร์ความรู้และสหวิชาแขนงต่างๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์เข้ากับบริบทการท่องเที่ยว
หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มของประชาสังคม เพื่อกำหนดกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนา
ที่เน้น “คนใน เพื่อคนใน” โดยได้ประโยชน์ร่วมกัน
มีลักษณะที่เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ดังนั้น
ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครขึ้นอยู่กับทุกคนและทุกฝ่าย
เรียนรู้และเข้าใจถึงบริบททางสังคมของพื้นที่ ทั้งตัววิถีชีวิต วัฒนธรรม
ประวัติศาสตร์ร่วมกัน จึงจะสามารถทำให้การท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครมีความเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
แหล่งอ้างอิง
กองการท่องเที่ยว สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. โครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน บ้านบุฯ. กรุงเทพฯ: 2550
(พิมพ์เนื่องในกิจกรรมแนะนำโครงการชุมชนท่องเที่ยวยั่งยืน บ้านบุฯ ณ
วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2550 )
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. “เพราะประวัติศาสตร์
คืองานที่รัก.” Bangkok Focus :
กรุงเทพฯ มหานครอาเซียน (8,
2557) : 52.
อิทธิกร ทองแกมแก้ว. สมุดจดบันทึกในรายวิชา 350322
ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ กับการท่องเที่ยว