วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เนินพิจิตรผ่านเรื่องเล่า ความทรงจำ คนในบ้าน


คนเฒ่า เล่าให้ฟัง
            “...พ่อเฒ่าๆ เล่าเรื่องทวดให้หลานบ่าวฟังที แต่แรกทวดเป็นใคร ท่านมาได้พันพรื่อ หลานบ่าวอยากฟัง...” หนึ่งในบทสนทนาของหลายชาย เอ่ยถามถึงคุณตา ให้เล่าที่มาของบรรพบุรุษทางฝ่ายแม่ นานมาแล้วกับความสงสัย อยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องราวของคุณทวด วันนี้ผมจึงมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ที่อาวุโสที่สุดในบ้าน คือ “พ่อเฒ่า”  ตามคำเรียกขานคุณตาของชาวภาคใต้ และ“ ป้าดำ” หนึ่งในหลานสาวของพ่อเฒ่าที่เคยคลุกคลีกับทวดมาตั้งแต่เกิด วันนี้ท่านทั้งสองจะเรียงร้อยถ้อยคำ ลำนำเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับทวดให้ผมได้ฟัง
พ่อเฒ่าและป้าดำอาศัยอยู่ ณ บ้านเนินพิจิตร อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา หมู่บ้านเล็กๆกลางหุบเขา แวดล้อมไปด้วยสวนยางพารา สวนผลไม้ และบ้านเรือนเพียงไม่กี่หลัง กระจุกตัวกันเป็นกลุ่มบ้าน ที่ล้วนแล้วเป็นเครือญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น ตระกูลของเรามีชื่อว่า “เทพวรรณ”

ความเป็นมาเป็นไปในตระกูลเทพวรรณ 
          ตระกูลเทพวรรณ มีถิ่นกำเนิดในตำบลพิจิตร โดยที่มาว่า ก่อนที่จะย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่าบ้านเนินพิจิตร บรรพบุรุษเคยอาศัยอยู่ที่วังทวด   (ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านอาณาเขตติดต่อกับอำเภอจะนะ) มีหัวหน้าชุมชนชื่อขุนขอน อยู่มาระยะหนึ่งชุมชนเกิดโรคระบาดขึ้น ผู้คนพากันเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก ขุนขอนและชาวบ้านจึงต้องย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบันบนเนินเขาเตี้ยๆ เรียกกันว่า “บ้านเนินพิจิตร” เทพวรรณเป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่นๆ มีการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงวัว  ค้าขาย และส่วนหนึ่งเป็นหมอชาวบ้าน ช่วยเหลือคนในชุมชน
            จากคำบอกเล่าของพ่อเฒ่า ต้นสายของตระกูลเทพวรรณ มาจากคุณทวดฝ่ายชาย ประกอบด้วยคุณทวดผู้ชายไม่ทราบชื่อและคุณทวดผู้หญิงชื่อว่า พุดแก้ว เทพวรรณ แต่งงานอยู่กินกันตามสามีภรรยา มีบุตรธิดา รวม ๕ คน คือ ทวดแดง ทวดไข่ ทวดแจ้ง ทวดจันทร์และทวดบุญ  ในส่วนของฝ่ายหญิงผู้ชาย ชื่อทวดหนู เทพยา สมรสกับทวดกวั้ง ท่านอพยพมากับญาติพี่น้องและเพื่อนๆจากเมืองจีนขึ้นฝั่งที่กรุงเทพมหานคร ภายหลังท่านได้ย้ายครอบครัวมาตั้งอยู่ที่บ้านป่าพลู อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มีบุตรธิดา ร่วมกัน ๓ คน คือทวดเสน ทวดยก ทวดลุ่น
เมื่อคุณทวดแดงกับคุณทวดเสนได้แต่งงานกัน คุณทวดเสนได้มาอยู่กับคุณทวดแดง ณ บ้านเนินพิจิตร ภภายหลังได้ให้กำเนิดบุตรธิดา รวม 5 คน คือ นางกิ้มตุ้ง เพชรสกุล นางสาวกิ้มยก เทพวรรณ นายพุ่ม เทพวรรณ นายเซี่ยง เทพวรรณ และเทียบ เทพวรรณ (พ่อเฒ่า) และได้สมรสกับแม่เฒ่า อยู่กินกันที่บ้านเนินพิจิตร กำเนิดบุตรธิดา รวม 3 คนคือ นางปริศา จุลละศร นายประวิทย์ เทพวรรณ และนางภาณุกุล ทองแกมแก้ว ซึ่งเป็นมารดาของผม
พ่อเฒ่าเล่าให้ฟังว่าตระกูลเทพวรรณ นอกจากจะมีเชื้อสายเป็นคนไทย ฝ่ายพ่อของท่านมีเชื้อสายแขกมุสลิมเช่นกัน ฝ่ายแม่ของท่านมีเชื้อสายชาวจีนโพ้นทะเล ส่วนคุณทวดแดงนั้น “...เป็นชาวหนองบัว (สงขลา) มีเชื้อแขก ตอนนั้นเที่ยวเตร็จเตร่มาเรื่อย มาอยู่แบกลอด มาอยู่กับทวดพุดแก้วซึ่งเป็นแม่ท่าน ที่บ้านเนินพิจิตร...” ปัจจุบันเราสืบไม่ได้ว่าญาติพี่น้องฝั่งนั้นมีใครบ้าง จึงรับรู้ได้เพียงว่าทวดแดงมีเชื้อแขกมุสลิม จากบ้านหนองบัว สงขลา

ทวดเสน เรื่องเล่าขานตำนานชาวจีนแผ่นดินใหญ่      
ทางบ้านมักเล่าเรื่องราวของคุณทวดคนนี้ให้ฟังอยู่เสมอ เพราะท่านมีเชื้อสายจีนโดยตรง “...ท่านเดินทางอพยพมาจากเมืองจีน ตั้งรกรากที่บ้านทุ่งหวัง อำเภอเมืองสงขลา มาค้าขายหมากพลู ที่หน้าวัดกลาง แบกคานหาบขายจนร่ำรวย พี่น้องทวดเป็นคนดูแล ภายหลังได้อพยพมาอยู่ที่ป่าพลู อำเภอจะนะปัจจุบัน ภายหลังจึงได้มาแต่งงานกับทวดแดง...”
            หลักฐานของการเดินทางจากประเทศจีน เป็นเรื่องเล่าขานของตระกูล คือ ปรากฏฮวงซุ้ยขึ้นที่เนินเขาลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ชื่อควนจิตร เป็นจุดฝังกระดูกบรรพบุรุษของคุณทวด เรื่องราวของการรับรู้นี้ เกิดจากญาติพี่น้องทางฝั่งพ่อเฒ่า คิดทำบุญเพื่อตั้งศาลบรรพบุรุษขึ้นในบ้าน ครั้งหนึ่งญาติพี่น้องได้ลงพื้นที่สำรวจสุสาน ประกอบด้วยสุสานทั้งห้า ชื่อ “ ฮุ้ยเส้ง สุยฮัก แปะต่อง สุ้ยเฮ้ง เจ้าหิ้น” สุสานเจ้าหิ้นเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุด รวมไปถึงสุสานไม่ทราบที่มาอีกที่หนึ่ง ปรากฎอยู่หลังฮวงซุ้ยเจ้าหิ้น สุสานอื่นๆกระจายตามที่ดินต่างๆของญาติพี่น้อง
            มีเรื่องเล่าว่า สุสานเจ้าหิ้น บรรดาคอหวยหลายคน ต่างรู้กิตติศัพท์ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน แต่ไม่ทราบเช่นกัน ว่าเหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนั้นไปได้  แถมมีคนลองดีมาทำคุณไสยขึ้น ภายหลังเข้าใจกันว่าสุสานนี้หมดความศักดิ์สิทธิ์และรกร้างไปในที่สุด แถมมีคนมาขโมยทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของอุทิศให้ผู้ตาย จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า เป็นเรื่องเล่ากันสืบมา ในช่วงตรุษจีนของทุกๆปีที่  บ้านป้าผมจะตั้งเครื่องบูชาแบบจีนให้กับบรรพบุรุษ ลูกหลานทุกคนจะกลับมารวมตัวกันที่บ้านป้า เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษผู้มาจากโพ้นทะเลไกล ที่ได้สร้างสิ่งดีๆให้กับลูกหลานเอาไว้ให้ได้อยู่ดีมีสุขมาจนถึงปัจจุบัน


 แดง เสน หมอยาประจำบ้านเนินพิจิตร
          เมื่อก่อนโรงหมอ หรือโรงพยาบาลยังไม่มีเหมือนสมัยนี้ การเดินทางเข้าไปหาดใหญ่ลำบากพอสมควร การรักษาจึงต้องพึ่งพาพระบ้าง ผู้รู้ยาบ้าง ผมเคยสังเกตบนเตียงนอนพ่อเฒ่า มีหีบเก่าๆใบหนึ่ง ภายในบรรจุตำราโบราณ เรียกว่า “บุด”  หรือสมุดไทยที่ทางภาคกลางเรียกกัน ประกอบด้วย ตำรายา ตำราดูฤกษ์ คาถาอาคม เป็นสมบัติที่ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน  คนเฒ่าคนแก่ในชุมชน นับถือทวดทั้งสอง ท่านมีบุญคุณต่อชาวบ้านในการรักษา บางครั้งท่านรักษาโดยไม่คิดเองเงินทอง หวังให้ผู้ที่มารักษาได้หายจากอาการเจ็บป่วย ภายหลังวิชาความรู้ผ่านหนังสือบุด ได้ถ่ายทอดมายังพ่อเฒ่า ท่านเล่าว่า “...ทวดพาไปอ่านหนังสือที่สวนยางตอนค่ำ ตัวต่อตัว ลูกคนอื่นๆก็เรียนกัน...”  ปัจจุบันพ่อเฒ่าเป็นผู้ครอบครองและยังคงใช้ตำรายารักษาประกอบพิธีกรรม เช่น ไหว้เจ้าที่ ไหว้ตายายในชุมชน เป็นต้น



ตีทองทอดน่อง ท่องไปขายเมืองไทร
อาชีพหนึ่งที่นอกจากจะเป็นหมอพื้นบ้านของทวดแดงกับทวดเสน ท่านยังประกอบอาชีพตีทอง โดยซื้อแผ่นทองมารีดและตีทองขายตามชุมชนต่างๆไปจนถึงเมืองไทรบุรี (ปัจจุบันเป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซีย) ส่วนใหญ่เป็นทองรูปพรรณ ประเภทเข็มขัด สร้อยคอ มีเรื่องเกร็ดเรื่องเล่าระหว่างทวดและเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินทางไปขายทองที่เมืองไทรบุรี ว่า “...มีโจรมาดักซุ่มจะขโมยทอง โจรคอยอยู่ที่ศาลาริมทาง ทวดรู้ทัน จึงเสกหมากให้โจรกิน ทวดทำทีชวนคุยดี โจรเกิดผูกมิตรไม่คิดปล้น จนทวดและเพื่อนสามารถเดินทางถึงเมืองไทรบุรีอย่างปลอดภัย...” ป้าดำเล่าเกร็ดสนุกให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งโจรเคยขึ้นบ้านจะขโมยทอง  แต่ทวดจับได้ ทวดไม่คิดไม่เอาผิด เรื่องนี้คนในตระกูลรู้กันดี เราสืบได้ว่าเป็นเครือญาติที่รู้จักกัน  ทวดแดงท่าน มีฉายาที่ลูกค้ามาทำทองเรียกกันว่า คือ “โกแดง” ตามชื่ออย่างจีน สมัยหนุ่มๆ ทวดยังได้ตีทองเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ถวายเป็นพุทธบูชา แก่พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช สถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ชาวปักษ์ใต้มีความเชื่อที่ว่า “เกิดมาหนึ่งชาติ ต้องไหว้พระธาตุเมืองคอน” เสมือนหนึ่งเราได้ใกล้ชิดพระพุทธองค์โดยตรง


เรื่องเล่าที่ควน
          ควนเล็กๆที่ทอดยาวขนานวางตัวทิศเหนือใต้ ขวางกั้นอาณาเขตระหว่างอำเภอนาหม่อมกับอำเภอจะนะ สวนของเราอยู่ที่นั่น บรรพบุรุษได้ริเริ่มถางป่าจับจองพื้นที่ทำกิน ป้าดำเล่าให้ฟังว่า “...ใครขยันบุกเบิกถางป่าได้มาก ไม่ขี้เกียจ บ้านนั้นจะมีสวนมาก...” ผมคิดว่านับเป็นสัจธรรมหนึ่งของคนเรา ว่าอย่าคิดจะเฝ้ารอสิ่งของเงินทอง สิ่งหนึ่งที่ต้องพึงกระทำคือ ขวนขวายและแสวงหาอยู่เสมอ ความรู้ก็เช่นกันถ้าเราไม่คิดจะสร้าง หนทางแห่งความสำเร็จก็จะไม่มี
            สมัยเด็กๆ ผมชอบไปเที่ยวเล่นกับญาติพี่น้องที่สวนอยู่เสมอ ที่นี่เป็นสวนผลไม่สลับกับสวนยางพารา เรียงรายกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตา กลมกลืนกับพนาไพร ร่มไม้ใหญ่ในหุบเขา ติดกับธารน้ำตกเล็กๆที่ไหลกั้นเขตแดนระหว่างสวนเรากับสวนเพื่อนบ้าน พ่อเฒ่าเล่าว่า “...สมัยก่อน การเดินทางมาสวนลำบาก มีเพียงถนนลูกรังที่เป็นเพียงทางล้อรถมอเตอร์ไซต์วิ่งได้เพียงคันเดียว สองข้างทางเป็นป่ารก เมื่อก่อนเสียชุม มันชอบมาล่าหมูป่า ทวดและเพื่อนบ้านต้องรีบกลับก่อนมืด สมัยนั้นเป็นที่ตื่นกลัวกันเป็นอย่างมาก...”  ผมจำได้ว่า ที่สวนของเราปลูกผลไว้มากมาย ทั้งทุเรียน เงาะ ลองกอง สะตอ เราเรียกสวนแบบนี้ว่า “สวนสมรม” หรือสวนผสมผสาน คุณลักษณะพิเศษของสวนนี้คือสามารถให้ผลทางการเกษตรหมุนเวียนได้ตลอดทั้งปี
หากไม่มีบทสนทนาของหลายชาย เรื่องราวเหล่านี้คงต้องสาบสูญไปพร้อมกับผู้ใหญ่ในบ้าน ไม่มีแม้แต่ตำนานเรื่อง “ทวด”ให้ลูกหลานได้ฟังกัน ไม่มีแม้แต่จะรู้ชาติพันธุ์เครือเหล่าของตนว่าเป็นคนมาจากไหน ผมหวังเพียงให้สิ่งเหล่านี้ เป็นอนุสรณ์ย้อนเตือนใจให้ลูกหลานภายในบ้านทุกคนรู้จักที่มาที่ไปตน จนไปถึงระดับครอบครัว วงศ์ตระกูลและประวัติศาสตร์เชิงสังคมได้ดียิ่งขึ้น เป็นประวัติศาสตร์บอกเล่า ได้ถ่ายทอดให้กับบุคคลในครอบครัวได้รับรู้  และเมื่อใดที่ลูกหลานหรือคนในครอบครัว ระลึกนึกถึง สิ่งดังกล่าว หวังว่าจะเป็นประโยชน์และเป็นข้อมูลที่ดีในการศึกษาเรื่องราวในตระกูลต่อไปได้ หวังจุดประกายเรื่องราวเล็กๆของ “ทวด”  ให้ได้รับรู้กันทั่วถึง
“...ผมจบบทสนทนา แหงนหน้าขึ้นมองรูปถ่ายที่อยู่เบื้องหน้า หญิงชายวัยชราที่อมยิ้มให้กับผม ท่านคงจะมีความสุขมากๆ แม้จะจากไปนานแล้ว แต่รอยยิ้มที่เพริดแพร้วยังคงประจิมติดตราตรึงใจในดวงตาของผมมาจนถึงทุกวันนี้...คิดถึงทวด...”

หนังสืออ้างอิง
ประพนธ์ เรืองณรงค์, ทักษิณคดี :หนังสือบุด ,สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,กรุงเทพมานคร,๒๕๒๕.
ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์
นายเทียบ เทพวรรณ คุณตาของข้าพเจ้า
นางสาวดำ เทพวรรณ หลานคุณตา


วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ลากพระสงขลา เขาว่าครั้งหนึ่งห้ามลากพระ !!

อ้างอิงจาก : source: James Low, 'Extracs from the journal of a political mission to the Raja of Ligor in Siam', Journal of the Asiatic Society in Bengal
ครั้งหนึ่งห้ามชาวบ้านลากพระ!!
คงเป็นที่ทราบกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวใต้ ว่าวันเเรม 1 ค่ำ เดือน 11 หลังวันออกพรรษาในทุกๆปี เป็นวัน "ลากพระ " บางท้องถิ่นก็ว่า "ชักพระ" บ้าง เป็นที่สนุกครื้นเครงของเเต่ละท้องถิ่นที่จะได้ตกเเต่งพนมพระ ตระเตรียมเครื่องบูชา เเขวนต้ม จนถึงเเห่เรือพระชักลากไปตามเส้นทางทั้งทางน้ำ ทางบก เเต่ใครจะรู้บ้างว่าครั้งหนึ่งงานประเพณีนี้ในอดีตทางราชการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนในบางพื้นลากพระหลายปีเลยทีเดียว อันเนื่องมาจากเหตุทะเลาะวิวาทกันของชาวบ้านหญิงชายเเขวงเมืองปละท่า(อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาปัจจุบัน) ข่าวทราบไปถึงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาในขณะนั้น เข้าในว่าคงเป็นสมัยพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ในขณะนั้น "ออกหมายประกาศไม่ให้ลากพระ"
ความดังกล่าวนี้ประกาศอยู่ในเอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราช สมัยเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) ดำรงตำแหน่งพระวิจิตรวรสาส์น(ข้าหลวงตรวจราชการพิเศษ) เเละพระยาสุขุมนัยวินิต ตามลำดับ ร.ศ. 115-125 เรื่อง จัดราชการเมืองสงขลา วันที่ ๑๑ มีนาคม รัตนโกสินทร ศก ๑๑๔ ความว่า
"อนึ่งราษฏรเมืองสงขลานิยมนับถือในการแห่พระ ถึงระดูเดือน ๑๑ ชวนกันอารธนาพระพุทธรูปลงตั้งบนรถแห่ไปตามถนนทุกๆปี ถือกันว่าทำให้ไร่นาอุดมสมบูรณ์ แต่การที่เปนมาเเล้ว มักจะเกิดเหตุวิวาทกันเสมอทุกๆราย ด้วยวิธีลากนั้นเปนช่องให้เกิดการวิวาท คือ มีเชือกลาก คือ มีเชือกลาก ๒ สาย สายหนึ่งสำหรับผู้หญิง อีกสายหนึ่งสำหรับผู้ชาย ครั้นเมื่อลากพระเฮฮากันไป สายเชือกก็เบือดเสียดกันเข้าไป หรือบางทีพวกข้างผู้ชายจะแกล้งกระทบกระเทียบสายผู้หญิงก็ถือหางเชือกชิดไป ผู้หญิงที่หลักไม่ดีล้มลงบ้าง ก็ย่อมเปนที่โทมนัศน้อยใจของพวกผู้ชายที่เปนญาติพี่น้อง ก็เกิดวิวาทขึ้น ผู้ว่าราชการเมืองจึงออกหมายประกาศห้ามให้เลิกการลากพระเสียตลอดเมืองสงขลาหลายปีมาเเล้ว เเต่ราษฎรยังมีความปรารถนาดีเสมอ ครั้นข้าพระพุทธเจ้าไปคราวนี้ ต่างคนต่างมาร้องขออนุญาตที่จะลากพระดังที่เคอยได้มาเเต่ก่อน "
ด้วยความเดือนร้อนเเละทุกข์ใจของชาวบ้านที่นับถือเเละสืบทอดประเพณีนี้มาอย่างยาวนาน มีความเชื่อว่าการได้ลากพระจะส่งผลต่อกสิกรรมที่ทำมา นั่นคือ การทำนา อย่างไรก็ตามชาวบ้านจึงอ้างว่าความเดือนร้อนนี้เนื่องด้วย "ที่ทำนาไม่บริบูรณ์มาหลายปีเเล้วนั้น ก็เพราะไม่ได้ลากพระ"
ภายหลังจึงมีการอนุญาตให้ลากพระขึ้น เเต่มีขอบเขตกำหนดมาตราการขึ้นใหม่ โดยพระวิจิตรวรสาส์น จัดการไม่ให้เกิดการวิวาทเสียใหม่ โดยให้เหตุผลว่า "เเต่ที่จะให้เเห่นั้นยอมให้เเห่ที่ตำบลละวัด ไม่ให้เเห่เพรื่อไปทุกวัดเหมือนเเต่ก่อน เวลาที่เเห่ให้เเต่งกรมการไปคอยคุมอีกชั้นหนึ่ง เเลเชือกที่จะลากนั้นมีไม้ขวางกลางเสียให้เชือกกางออกไป อย่าให้ผู้หญิงกับผู้ชายเบียดเสียดกันเข้าไปได้ เเลให้มีนายบ้านตรงกลางระหว่างเชือกด้วยอีกชั้นหนึ่ง"
ภายหลังทางการจึงมีการสร้างถนนปรับปรุงให้มีการลากพระเเละเเก้ปัญหาเสียใหม่ ให้มีการลากพระเป็นปกติดังเดิม ความเรื่องห้ามลากพระนี้ ได้รายงานไปยังกรมหมื่นราชานุภาพในขณะนั้น ดังปรากฏในหนังสือเรื่องการจัดการเมืองสงขลา กระทรวงมหาดไทย วันที่ ๑๗ เดือนเมษายน ร.ศ. ๑๑๕ ปรากฏความที่กรมดำรงรับทราบเเละอนุญาตให้ราษฏรลากพระตามเดิม ดังปรากฏในข้อที่ ๕ ว่า
"เรื่องยอมให้ราษฎรแห่ชักพระ โดยวิธีที่เเจ้งมา เเล้วว่าจะอาไศรยเอาเหตุทำถนนสองสายนั้นดีเเล้ว"

คงจะเป็นสาระดีๆที่นำมาฝากให้อ่านกันเเม้ว่าบางพื้นที่จะไม่ได้ลากพระหรือชักพระก็ตามในปีนี้ เเต่วิถีชีวิตเเละวัฒนธรรมท้องถิ่นก็ยังคงต้องสืบสานกันต่อไป ให้อยู่คู่กับท้องถิ่นภาคใต้ตราบนานเท่านาน

#อ้างอิงจาก ใน เอกสารราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ในสมัยพระยาสุขุมนัยวินิต
(ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาล ร.ศ. 115-125(พ.ศ. 2439-2449),. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พระจันทร์, 2520.

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ดอนหอยหลอด : “ศรัทธา ความทรงจำ ลำคลองฉู่ฉี่”

“ศรัทธา ความทรงจำ ลำคลองฉู่ฉี่”
“สายน้ำสายนี้มีความหมาย             ปู่ย่าตายายได้กล่าวขาน
สายน้ำสายนี้มีตำนาน                     บอกผ่านสานสืบศรัทธา”
          เคยตั้งคำถามหรือรู้สึก “เสียดาย” กับบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยสัมผัสหรือรับรู้อะไรบ้างไหม จะด้วยสิ่งของที่เราเคยหยิบจับเอามาใช้งานหรือของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่ยังคงอยู่ในความสนใจของเรา เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เราประทับใจ คนบางคนที่เรารู้จัก เคยร่วมงานหรือโชคชะตาที่พาให้เรามาเจอกัน สถานที่บางสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน หรือแม้แต่เรื่องเล่าบางสิ่งบางอย่างยังคงดังก้องอยู่ในใจเราเสมอมา เราจงใจหรืออาจตั้งใจลืมมันโดยไม่ทันคิด พื้นที่บางแห่งทำให้เรารู้สึกประทับใจ และบางพื้นที่ก็ชวนให้รู้สึกหดหู่ใจไปตามๆกัน บางอย่างก็กำลังจะหายไปจากความทรงจำและคำเล่าขานของสังคม ผมตั้งคำถามกับมันขึ้นมาหลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจผ่านคำบอกเล่าของผู้คนในมิติต่างๆ จากการเดินทางมาสู่จังหวัด “สมุทรสงคราม”
เพื่อมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านวิถีชีวิต วัฒนธรรมและผู้คน ทำให้เห็นถึงสายน้ำแม่กลองและคลองหลายร้อยสาย สายน้ำเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนจุดเชื่อมสัมพันธ์ผู้คนถิ่นต่างๆ ยังคงมีเรื่องเล่าขานของท้องถิ่น ผ่านวิถีและศรัทธาของผู้คนบางส่วนในจังหวัดสมุทรสงคราม
จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต เรารู้จักกันดีในนาม “เมืองแม่กลอง”
มีแม่น้ำแม่กลองเป็นสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่อาศัยตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม ไหลลงทะเลอ่าวไทยที่บริเวณดอนหอยหลอด เป็นจังหวัดที่ถูกขนานนามว่าเป็นพื้นที่กสิกรรมทำสวนผักและผลไม้จวบจนอดีตจนถึงปัจจุบันว่า “สวนนอกบางช้าง” หรือ “บางช้างสวนนอก” เป็นถิ่นพำนักของต้นราชนิกุล ณ บางช้าง แห่งราชวงศ์จักรี เป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียงหลายท่านที่มีคุณูปการต่อแผ่นดิน อาทิ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ฝาแฝดอิน-จัน ครูเอื้อ สุนทรสนาน เป็นเมืองที่ประดิษฐานหลวงพ่อบ้านแหลมอันศักดิ์สิทธิ์เคารพนับถือของผู้คนบนฟากน้ำและคนแดนไกล ทั้งยังเป็นแหล่งจับปลาทู “หน้างอคอหัก” มีสายรถไฟวงเวียนใหญ่แม่กลองต้นกำเนิดตลาดร่มหุบ มีตลาดน้ำอัมพวาที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งภายนอกและภายในพื้นที่ต่างมาเยือนไม่ขาดสาย รวมไปถึงดอนหอยหลอด เสมือนขุมทรัพย์ของคน
แม่กลองได้ทำมาหากิน เป็น “ทรัพในดิน” และ “สินในน้ำ” อันอุดมสมบูรณ์ แต่ใครจะรู้ไหมว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังคงมีเสน่ห์มุมเล็กๆ ที่เราอาจไม่เคยเห็น นอกเหนือไปจากสิ่งที่เราเคยรู้ เคยสัมผัส ลองเปลี่ยนมุมกลับ ปรับมุมมอง แล้วมาลองดูกันให้ลึกลงไปว่า สมุทรสงครามมีมุมน้อยๆที่คอยให้คุณมาเรียนรู้อยู่
          ผมออกเดินทางจากกรุงเทพมหานครพร้อมอาจารย์และเพื่อนๆ ด้วยรถตู้โดยสารของมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าสู่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อศึกษาเรียนรู้สถานที่สำคัญในเขตอำเภอเมืองและอำเภออัมพวา รถตู้ได้แล่นผ่านชุมชนแห่งหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางที่จะไปยังดอนหอยหลอด ระหว่างทางผมไปเห็นป้ายชื่อคลองที่เขียนปักไว้ข้างทางว่า “ฉู่ฉี่” เผลอชวนให้นึกถึงแกงฉู่ฉี่ร้อนๆ ผมตั้งสมมติฐานไว้ในใจว่า สิ่งที่คิดอาจจะไม่แปลกไปจากความเป็นจริงนัก รถตู้แวะจอดให้ทางคณะของเราได้เดินเท้าสำรวจชุมชนในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นต้องรีบขึ้นรถเพื่อต่อไปยังสถานที่อื่นๆ ภายหลังการลงพื้นที่ศึกษา ผมจึงตัดสินใจมาชุมชนแห่งนี้ในภายหลัง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้ผมได้รู้จัก ฉู่ฉี่มากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นประกายเล็กๆที่ช่วยเติมเต็มเรื่องราวของชุมชนแห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนทั่วไป ทั้งยังเป็นการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชนได้ตระหนัก รักษา ก่อเกิดความภาคภูมิใจผ่านเรื่องราวดีๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน ถึงแม้ว่ากระแสโลกาภิวัตน์จะพัดพาเอาความเจริญต่างๆ เข้ามาอยู่ตลอดเวลา แต่ชุมชนฉู่ฉี่แห่งนี้ก็รู้จักรับมือและปรับตัว ด้วยภูมิรู้ ภูมิปัญญา จากบรรพชนในอดีตสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แรกรู้จักฉู่ฉี่
แสงแดดที่ส่องกระทบลงบนแผ่นดินแม่กลอง ลมเอื่อยๆ ไอร้อนพัดพามากระทบผิวกาย ในหน้าร้อนช่วงเดือนมีนาคมอย่างนี้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มตัว คณะของเราเดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็กๆที่มีชื่อว่า “ฉู่ฉี่” ชุมชนชาวประมงเล็กๆ ที่มีลำคลองสายสั้นๆไหลผ่านหมู่บ้าน มีถนนหนทางที่เชื่อมระหว่างดอนหอยหลอดกับตัวเมืองเข้าไว้ด้วยกัน ถนนสายนี้พาเรามาสู่จุดมุ่งหมายที่นี่ ผมออกเดินทางสำรวจชุมชนดูสภาพหมู่บ้าน ลำคลองเล็กๆ ธรรมชาติข้างทางที่แซมด้วยป่าจาก ป่าโกงกาง และเครื่องมือประมงที่พบเห็นได้ทั่วไปเกือบทุกหลังคาเรือน ในฐานะที่เป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ ถ้าจะหาความเก่าแก่ของชุมชนแห่งนี้เราคงจะหาอะไรได้ยากนัก แต่หากเปิดใจให้กว้าง หากจะเป็นนักมานุษยวิทยาเดินดินหรือนักสัมพันธ์ชุมชน
นักสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น หรือนักอนุรักษ์ อาจจะดูเข้าท่าไม่น้อยทีเดียว หากคุณคิดจะมาเรียนรู้ สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมของผู้คน ท่ามกลางความเจริญและแปรเปลี่ยนสภาพพื้นที่การใช้งานไปจากเดิม ชุมชนแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ผมอยากจะแนะนำให้ผู้ที่สนใจและรักในการท่องเที่ยว หากมีโอกาสผมอยากให้ผู้ที่สนใจได้มาเรียนรู้ที่แห่งนี้ไปด้วยกัน
“ฉู่ฉี่” เป็นชุมชนชาวประมงที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม สภาพภูมิศาสตร์ทั่วไปเป็นพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล ผืนแผ่นดินเป็นดินโคลนที่ตั้งอยู่ใกล้กับปากอ่าวแม่กลอง มีคลองฉู่ฉี่เป็นสายน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับคลองที่ทะลุไปจนถึงบางจะเกร็ง ปัจจุบันคลองฉู่ฉี่ไม่สามารถใช้ในการสัญจรทะลุไปถึงบางจะเกร็งได้เนื่องมาจากสภาพตื้นเขินของแหล่งน้ำ


ฉู่ฉี่ในอดีต
ในอดีตชุมชนบริเวณคลองฉู่ฉี่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติมากมาย อาทิ พืชพันธุ์ จำพวกโกงกาง แสม ลำพู ตะบูน ต้นจาก ผักเบี้ย หมามุ่ย ชะครามขึ้นอยู่เรียงราย สัตว์น้ำ จำพวก กุ้ง หอย ปู ปลาหลากหลาย โดยเฉพาะปลาอีกง เป็นปลาที่ขึ้นชื่อของชุมชนมาตั้งแต่อดีต มักอาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำสายใหญ่ๆ ที่ติดกับทะเลน้ำกร่อย สามารถพบได้ทั่วไปโดยเฉพาะแถบจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบุรี ลักษณะของปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมหนา ตัวมีสีเทาอมทอง บางตัวมีสีเทาอมม่วง ส่วนท้องจะเป็นสีขาว ความอุดมสมบูรณ์ของปลาอีกง กลายเป็นที่มาของลำคลองแห่งตำนานลื่อชื่อ เลื่องลือในกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาจากท้ายครัวของแต่ละบ้าน ส่งกลิ่นให้กับผู้ที่สัญจรไปมาในคลองสายนี้ ไม่วายที่จะถึงหยุดทักทายเพื่อถามชาวบ้านให้หายสงสัยขึ้นมาว่า “กำลังทำแกงอะไรอยู่” ทันใดนั้นชาวบ้านก็ตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำใจไมตรีให้กับผู้ที่สัญจรว่า “กำลังทำฉู่ฉี่ปลาอีกง” นี่จึงเป็นต้นกำเนิดของคลองฉู่ฉี่ที่ยังคงเป็นเรื่องเล่าขาน สานต่อและรังสรรค์ถึงความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน ความทรงจำของผู้คนที่อาศัยอยู่ในคลองฉู่ฉี่ ต่างลือเป็นเสียงเดียวว่ามาจากปลาอีกงต้นเหตุของเมนูอร่อยที่รู้จักไปทั่วย่าน คุณยายทองหยิบ หญิงสาวคนตลาดแม่กลองที่ไปมาหาสู่ระหว่างหมู่บ้านฉู่ฉี่กับแม่กลอง ได้นั่งสนทนากับพวกเราในบรรยากาศชานบ้านไม้ริมคลอง แกกำลังสนุกกับการเคี้ยวหมากอยู่พอดี จึงได้มีโอกาสเล่าที่มาของชื่อคลองฉู่ฉี่ให้พวกเราฟังว่า
            “ชื่อฉู่ฉี่ สมัยก่อนมีบ้านน้อย สองสามหลัง ปลาอีกงชุกชุม เขาเอามาแกงฉู่ฉี่มันอร่อย ใครผ่านไปผ่านมา เขาก็ถามว่าแกงอะไร คนในชุมชนจะบอกว่า แกงฉู่ฉี่ ฉู่ฉี่ปลาอีกง
            ผมได้รับการการันตีของปลาอีกง กับต้นตำรับแกงฉู่ฉี่ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ผ่านคุณยายอรุณ สิริแย้ม ได้เล่าให้เราฟังในทำนองเดียวกันว่า ฉู่ฉี่มีต้นกำเนิดมาจากแกงฉู่ฉี่ “ดั้งเดิมมาเขาเรียกคลองฉู่ฉี่ คลองมาจากข้าวแกงฉู่ฉี่” อีกคนคือ พี่เกษมซึ่งเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าแกงฉู่ฉี่ที่มาจากปลาอีกง เป็นต้นกำเนิดที่มาของคลองฉู่ฉี่ “เมื่อก่อนมีปลาอีกเยอะ ทุกบ้านมีคนมาสอบถามว่าที่นี่ทำอะไร ออแกงฉู่ฉี่ปลาอีกง”นอกจากที่มาของชื่อที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลาอีกงแล้ว พืชพันธุ์ธรรมชาติในความทรงจำของผู้คนที่อาศัยอยู่ อาทิ พี่ประกอบกิจการเรือท่องเที่ยวชุมชนท่านหนึ่งได้เล่าถึงความอุดมสมบูรณ์ผ่านพืชพันธุ์ธรรมชาติที่ขึ้นเรียงรายริมชายฝั่งทะเลและในลำคลอง
“เมื่อก่อนสภาพพื้นที่ทั่วไปของดอนหอยหลอด รวมไปถึงชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง อย่างชุมชนคลองฉู่ฉี่ในอดีต ทรัพยากรจำพวกพืชชายฝั่งทะเล อาทิ ตะบูน ต้นจาก ผักเบี้ย ชะคราม หมามุ่ย ชะคราม ขึ้นอยู่เรียงราย”
ผู้คนที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่แห่งนี้สันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มคนไทย และอาจจะมีกลุ่มคนมอญในพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาตั้งรกรากสร้างบ้านเรือนอาศัยร่วมกับกลุ่มคนไทย เพื่อประกอบอาชีพในพื้นที่ใกล้ดอนหอยหลอด จนเข้ามาตั้งรกรากทำกินจนมีครอบครัวและญาติพี่น้องขยับขยายออกไป ดอนหอยหลอดในอดีตคงจะเป็นแหล่งแสวงหาทรัพยากรของใครหลายคนๆ ไม่เพียงแต่คนในพื้นที่ในฐานะเจ้าของทรัพยากรหลัก คนนอกพื้นที่จากแดนไกลอย่างครอบครัวของ คุณยายอี๊ด คงรักษา ได้เล่าให้ฟังถึงบิดามารดาของคุณยายที่ได้รอนแรมมาไกลจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาสู่ลุ่มน้ำแม่กลอง รวมถึงญาติพี่น้องที่อพยพมาจากชุมชนอื่นๆ ร่วมกันสร้างสรรค์ทำกินกันในคลองฉู่ฉี่แห่งนี้
“เป็นคนดั้งเดิมในพื้นที่บ้านฉู่ฉี่ พ่อแม่เป็นคนปทุมธานี มีญาติอยู่หรือยังไงก็ไม่รู้ สมัยก่อนอยู่กัน 7 ภายหลัง ทวดปุ้ย ตาแพ ตาหลี ตาเล็ก ตาชื่น ยายหยวก ตามูล ย่าเฟี้ยม เขาเป็นคนที่นี่ดั้งเดิมแล้วอพยพกันมา เขาเป็นคนปากมาบ ยายจันทร์แฟนเป็นคนปากมาบบางบ่อ”
นอกจากนี้อดีตผู้ใหญ่บ้านปรีชา สิริแย้ม ได้เล่าเรื่องราวสภาพของคลองฉู่ฉี่ในอดีต ถึงความอุดมสมบูรณ์การปกครองและบ้านเรือนที่ตั้งอยู่จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
“เป็นคนที่นี่ดั้งเดิม ก่อนนี้ขึ้นอยู่กับหมู่ที่ 7 ตอนหลังแยกออกมาเป็นหมู่ 8 ภายหลังเทศบาลให้เหลือแค่ 4 หมู่บ้าน ที่นี่ก่อนไม่มีถนน แต่ก่อนเป็นป่าจาก ป่าโกงกาง หมู่บ้านมีไม่กี่สิบกว่าหลังคาเรือน ตอนหลังมีลูกหลานก็ขยับขยาย ปัจจุบันมี 100 กว่าหลังคาเรือน ประกอบอาชีพประมง ค้าขาย สมัยก่อนมีหอยหลอดเต็มไปหมด ในคลองฉู่ฉี่สัตว์น้ำเยอะแยะ”
การประกอบอาชีพ
เครื่องมือประมงพื้นบ้านจำพวกอวนปู อวนกุ้ง อวนปลา ธงทิวสีต่างๆที่บ่งบอกถึงขอบเขตความเป็นเจ้าของในพื้นที่ท้องทะเลของกันและกัน เกือบทุกบ้านจะมีเรือประมงเป็นของตนเองจอดเรียงรายหน้าบ้านและใต้ถุนบ้านบ้าง ทางเดินเท้าสองข้างริมคลองทั้งสองฝั่งจะมีการแปรรูปสัตว์น้ำ ตากปลา บางบ้านกำลังตระเตรียมการจัดเรียงปลาบ้าง ปูบ้าง แยกขนาดใส่ภาชนะเพื่อส่งออกให้พ่อค้าที่มารับซื้อจากภายนอกต่อไป บ้างก็ทำนากุ้งหรือวังกุลา คนที่นี่ประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก ส่วนหนึ่งก็ค้าขายสินค้าจากท้องทะเลที่ดอนหอยหลอด และแปรรูปผลิตภัณฑ์จากต้นจากตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนที่มุ่งหน้าสู่ดอนหอยหลอด ที่สำคัญผู้คนที่นี่ยังประกอบอาชีพหาหอยหลอดเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม ทั้งยังประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านโดยใช้เรือพายหรือเรือสำปั้นในการสัญจรไปมา และเรืออีป๊าบในการทำมาหากิน ภายหลังเรือสำปั้นไม่ค่อยพบเห็นในปัจจุบัน แต่เรืออีป๊าบยังคงได้รับการใช้งาน มีการพัฒนารูปแบบจากเรือพายทั่วไปมาเป็นเรือที่มีเครื่องยนต์ติดท้ายเรือสืบเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน และยังได้รับพัฒนารูปแบบของเรืออีกขั้นหนึ่งมาเป็นเรือบริการท่องเที่ยวในชุมชน โดยกลุ่มกิจการเรือท่องเที่ยวประมงพื้นบ้านได้รวมกลุ่มกันมาในห้วงระยะเวลา 30 ปี มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงมีการจัดคิวของผู้ประกอบการกันในกลุ่ม โดยมีเส้นทางท่องเที่ยวในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ใช้ศักยภาพจากฐานทรัพยากรที่มีอยู่อย่างระบบนิเวศน์และธรรมชาติของพื้นที่มาเป็นตัวขับเคลื่อนกิจการท่องเที่ยวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ดอนหอยหลอด นอกจากนี้คนในพื้นที่ก็ได้ประกอบอาชีพที่หลากหลายขึ้น บางส่วนมีอาชีพรับจ้าง เป็นพนักงานในโรงงานที่ตั้งอยู่ไม่ไกล หรือออกไปประกอบอาชีพอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากสิ่งเหล่านี้ เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าอาชีพประมงพื้นบ้านจะยังคงอยู่กับคนที่นี่ได้นานแค่ไหน ลองหันกลับไปมองถึงอนาคตในเรื่องการพัฒนาในมิติต่างๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนแห่งนี้ได้ ประมงพื้นบ้านอาจจะกลายเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่าในอดีต จากประมงพื้นบ้านกลายมาเป็นวิถีแบบ “ประมงพื้นเมือง” ความเจริญที่รุกคืบเข้ามาผ่านการค้าในระบบทุนนิยมหรือเชิงพานิชย์กำลังเข้ามาตีตลาด ผมยืนมองดูเรือมากมายที่ลอยลำอยู่ในคลองฉู่ฉี่บนสะพานคอนกรีตทอดยาวสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน มันคงเป็นสัจธรรมชีวิตอย่างหนึ่งว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” ความไม่แน่นอนกับสิ่งที่แน่นอน ยากจะคาดเดาได้ ผมหวังเพียงว่าเรือน้อยๆ ที่จอดทุกลำจะยังคงทำหน้าที่เป็นเรือพื้นบ้าน ทำมาหากิน หล่อเลี้ยงทั้งคนในชุมชนและคนอีกหลายชีวิตที่พึ่งพาอาหารทะเลเหล่านี้ ตราบใดที่น้ำในคลองฉู่ฉี่ยังไม่เหือดแห้งไปเสียก่อน ตราบใดที่คนในชุมชน ยังไม่ล้มนอนไปเพราะความเจ็บปวด หรือเรือทุกยังไม่ได้ลำผุพังไป วันนั้นฉู่ฉี่จะยังคงมีชีวิตดำเนินต่อไปตราบนานเท่านาน
การคมนาคม
การคมนาคมของชุมชนที่อาศัยอยู่ในคลองฉู่ฉี่ มีการสัญจรโดยใช้ทางน้ำมีคลองฉู่ฉี่เป็นคลองสายหลักที่เชื่อมต่อชุมชนปากอ่าวแม่กลองกับชุมชนทางตอนในไปริมคลองบางจะเกร็ง อีกเส้นทางหนึ่งคือเส้นทางถนนปัจจุบัน ซึ่งในอดีตเป็นถนนลูกรังเล็กๆ ก่อนที่จะมีการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมต่อไปยังดอนหอยหลอด
ในอดีตเส้นทางน้ำเป็นเส้นทางหลักในการออกไปทำมาหากินและติดต่อไปปฏิสัมพันธ์กับภายนอก เรือจึงเป็นสิ่งที่ทุกบ้านจะต้องมี เรือที่ใช้ก็จะมีเรืออีป๊าบ เรือสำปั้น ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้มีการค้นพบหัวเรือโบราณใกล้พื้นที่ชุมชนขึ้น ซึ่งปัจจุบันหัวเรือพายโบราณตั้งอยู่บริเวณศาลปู่ดำ ปู่ขาว หลวงพ่อศรีราชา ตรงนี้อาจแสดงให้เห็นถึงการใช้เรือเป็นพาหนะเดินทางหลักของคนที่อยู่ในแถบนี้ ส่วนทางบกจะใช้วิถีการเดินไปตามเส้นทางที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและเส้นทางลัดไปตามทุ่ง ตามสวนกัน นอกเหนือไปจากการประกอบอาชีพแล้ว ชาวบ้านจะใช้สัญจรเพื่อติดต่อราชการ ไปทำบุญยังวัดใกล้เคียง เช่น วัดศรัทธาธรรม(วัดมอญ) วัดบางจะเกร็ง วัดเพชรสมุทร วัดปากสมุทร วัดป้อมแก้ว หรือไปค้าขายยังพื้นที่ใกล้เคียงและพื้นที่ข้างนอก โดยเฉพาะในตลาดแม่กลอง ตลาดอัมพวา มีกานนำเอาสินค้าจากท้องถิ่นซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกัน รวมทั้งนำเรือขนาดใหญ่ไปล่มเพื่อเอาน้ำจืดมาบริโภคในครัวเรือนแถว
อัมพวาขึ้นไป
คุณป้าบังเอิญ คงรักษา ได้เล่าเรื่องราวให้ผมฟังเมื่อครั้งที่คุณป้าเดินทางไปค้าขายยังตลาดแม่กลองเมื่อสมัยยังเป็นเด็กสาว ติดสอยห้อยตามผู้ใหญ่ไปตลาดแม่กลอง ตลาดอัมพวาและในพื้นที่บางจะเกร็ง ทำให้เราเห็นสินค้าที่เป็นสินค้าท้องถิ่นของแต่ละที่มีการนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งที่ชุมชนแห่งนี้มีวัตถุดิบเป็นอาหารทะเลไปแลกกับพื้นที่ทางตอนในที่มักจะแปรรูปสินค้าจำพวกน้ำตาล แต่ละพื้นที่จะมีตลาดที่เรียกว่า “นัด” เพื่อหมุนเวียนนัดหมายค้าขายระหว่างกัน
“การไปตลาดเมื่อก่อนต้องพายเรือ แล้วไปจอดที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ตรงนั้นเป็นที่จอด แล้วขึ้นรถไปตลาดแม่กลอง แล้วพอถึงวันนัด แถวอัมพวา จะมีของทะเลไปแลก เขาแลกกันกิน ไปตลาดก็ไปจอด พอได้ของไปแลกแถวอัมพวา มะพร้าวน้ำตาล เราเอาปลาไรที่มีไปแลกกัน เราไม่ทันแต่น้าเราแม่เราทัน ชวดเราเขาจะไปหาฟืน แล้วอาศัยเรือไปเราไปแลกน้ำตาล ไปแลกแถวบางจะเกร็งจะมีสวนมะพร้าวและทำน้ำตาล”
            ทั้งนี้การคมนาคมของคนที่นี่นอกจากจะไปแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันแล้ว ยังมีภูมิปัญญาการนำเรือไปล่มเพื่อเอาน้ำจืดมาอุปโภค บริโภคในครัวเรือน กันแถวอัมพวา คุณยายทองหยิบ เล่าให้ฟังว่า
“มีภูมิปัญญาเรื่องการล่มเรือตักน้ำ น้ำแถบนี้เค็ม จึงต้องไปล่มน้ำจืดไปแถวอัมพวา โดยเอาเรือใหญ่ๆไปล่มตักขึ้นใส่โอ่ง”
          อดีตผู้ใหญ่บ้านปรีชา สิริแย้ม ได้เล่าให้ฟังถึงการใช้เรือโดยสารเพื่อไปยังตลาดแม่กลอง ผ่านเส้นทาง
ลำประโดง เข้าคลองบางจะเกร็ง ทั้งนี้ทำให้เห็นถึงภูมิปัญญาของการรู้จักทิศทางลมของคนในชุมชน ที่ใช้เส้นทางตอนใน เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางปากอ่าวแม่กลองในช่วงที่มีลมแรงกัน รวมทั้งยังทำให้เห็นถึงการใช้เรือชนิดต่างๆ เช่น
เรืออีป๊าบ เรือสำปั้น
            “เวลาไปตลาดสมัยก่อนไปเรือ นิยมไปตลาดแม่กลอง แต่ก่อนใช้เรือ พอน้ำมากๆ
ก็จะลัดไปตามลำประโดงไปทางบางจะเกร็ง ทางนอกบางทีคลื่นลมแรง เรือที่ใช้สำปั้น(รุ่นแรกๆ) เรืออีปาบ ตอนหลังมีเครื่องใส่ เรือสำปั้นเป็นเรือไมใหญ่ เรือพาย เรืออีป๊าบมันเป็นเรือใหญ่ สามวาขึ้นไป”
          นอกจากการคมนาคมที่ใช้เส้นทางน้ำเป็นหลัก ยังมีการใช้เส้นทางบกหรือเส้นทางเดินเท้าเข้าออกหมู่บ้าน พี่เกษม เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนการเดินทางเท้าในหมู่บ้าน จะเดินตามป่า ตามคันวัง(วังกุ้ง) ลัดเลาะออกไปทางด้านหลังบ้าน ซึ่งปัจจุบันการเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านมีการสร้างสะพานปูนถาวรเลียบคลองสองฝั่ง
“เมื่อก่อนเราเดินเข้าในป่า เราเดินตามคันวัง ข้างหลังบ้าน เป็นคันกุ้ง ตรงนั้นเป็นทางเดิม ภายหลังมีสะพานเลียบคลอง”
            การเดินทางของผมยังไม่ได้สิ้นสุดที่คำว่า “ฉู่ฉี่” จากประวัติความเป็นมาผ่านเรื่องเล่าของบุคคลต่างๆ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ระบบนิเวศน์ การประกอบอาชีพหรือแม้แต่การคมนาคมเพียงเท่านั้น จริงอยู่ว่าคำตอบดังกล่าวเป็นคำตอบเบื้องต้นที่ผมได้รับรู้และเข้าใจในวิถีชีวิตของชาวประมงมากขึ้น ครั้งหนึ่งผมเคยเข้าค่ายมัธยมกับสถาบันที่มีชื่อเสียงทางวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของภาคใต้ ได้พาคณะนักเรียนนักศึกษาลงเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมพื้นที่สำคัญรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ทั้งนี้ทางคณะได้พาลงพื้นที่ชุมชนประมงพื้นบ้านบริเวณที่บ้านท่าเสา ซึ่งเป็นชุมชนชาวประมงแห่งหนึ่งของจังหวัดสงขลา วันนั้นผมได้เรียนรู้นิเวศน์ธรรมชาติและการประกอบอาชีพของชาวประมงที่นี่ ผ่านมาแล้วหลายปีผมได้มีโอกาสมาเยือนชุมชนชาวประมงพื้นบ้านที่ฉู่ฉี่แห่งนี้ เสมือนเราได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านอีกครั้ง แต่คราวนี้เรามาด้วยความบังเอิญ ความสนใจที่เป็นทุนเดิมอยู่บ้าง เหตุผลเพราะชื่อหมู่บ้าน ลำคลอง และสภาพพื้นที่ที่ยังคงเห็นวิถีประมงในฉบับคนบ้านๆ ไม่ได้เชิงพาณิชย์ รู้สึกถึงความสงบ เรียบง่าย สิ่งดังกล่าวนำมาสู่การค้นหาคำตอบบางสิ่งบางอย่าง ที่ผมสนใจ คือ ศรัทธาในความคิดความเชื่อของคนประมงและผู้ที่มีความผูกพัน การอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเป็นเวลานาน ผ่านความทรงจำที่อยู่ในความรู้สึกหรือเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอมา โดยเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเคารพนับถือ
ดังปรากฏศาลหรือตำหนักประจำหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ปากคลองฉู่ฉี่ด้านอ่าวแม่กลองมีศาลสำคัญปรากฏชื่อ หลวงพ่อศรีราชา ปู่ดำ ปู่ขาว ทำหน้าที่ปกปักรักษาลำน้ำ ธรรมชาติและผู้คนหมู่บ้านให้มีความสุข เสมือนหลักชัยสำคัญของชาวบ้านฉู่ฉี่ ให้ผู้คนมีความสุขและเป็นกำลังกายและกำลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป
ศรัทธา ความทรงจำ ลำคลองฉู่ฉี่
          หากย้อนกลับไปมองถึงความสำคัญของคลองฉู่ฉี่ จะพบว่า พื้นที่ทั่วไปของคลองฉู่ฉี่ มีสภาพเป็นพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรต่างๆ มากมายจำพวกพืชพันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิด ทำให้ผู้คนเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่จนก่อเกิดเป็นชุมชนประมงเล็กๆ ขึ้นใกล้ปากอ่าวแม่กลองหรือดอนหอยหลอด การที่ผู้คนเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ย่อมนำพาเอาวิถีชีวิต วัฒนธรรม รวมถึงระบบความเชื่อที่มีอยู่แต่เดิมเป็น เป็นเครื่องมือที่ใช้ในสัมพันธ์ผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน คติความเชื่อดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มีขึ้นในสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะการเคารพนับถือผี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้คนในอุษาคเนย์ ก่อนที่จะมีศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาเข้ามาในภายหลัง ก่อเกิดการผสมผสานระหว่างกันขึ้น จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในระบบความเชื่อของสังคมไทย หมู่บ้านฉู่ฉี่ถือเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีการเคารพนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชุมชนและบุคคลทั่วไป ปรากฏศาลเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางปากคลองสอง ถึงสามหลัง เรียงรายกันในแนวเดียวกัน ศาลดังกล่าวมีชื่อว่า “ศาลหลวงพ่อศรีราชา ศาลพี่ดำพี่ขาว” เรื่องราวของการเคารพบูชายังปรากฏให้เห็นเด่นชัดผ่านเรื่องเล่าของผู้คนที่ผูกพันกับศาลผ่านการขอพร บนบานศาลกล่าว เรื่องเล่าอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงประเพณีท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา นับเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวบ้านและชาวประมงคลองฉู่ฉี่ที่ยังคงให้ความเคารพไม่ขาดสาย
จุดเริ่มต้นของความสนใจที่จะตามหาศาลพี่ดำ พี่ขาว หลวงพ่อศรีราชา บ้างก็เรียกปู่ดำ ปู่ขาว พ่อศรีราชาบ้าง ซึ่งมีที่มาจากเรื่องเล่าคนในชุมชนถึงสิ่งเคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน และชี้นำให้ได้รู้จักสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ผมออกเดินเท้าสำรวจตามคำบอกเล่าของคนในชุมชนว่าพี่ดำพี่ขาว ศาลหลวงพ่อศรีราชา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวชุมชนมากนัก ถ้าหากเทียบเคียงกับทิศทางที่ตั้งคือตั้งอยู่คนละฟากถนน แล้วสามารถเดินเข้าไปสู่ซอยเล็กๆ จึงจะพบเข้ากับที่ตั้งศาล ทั้งนี้พบว่า ตัวศาลตั้งอยู่ทางขวามือจากปากทางเข้า ตัวศาลมีทั้งหมด 3 ศาลยกพื้นสูงขึ้นไม่มาก
ศาลหนึ่งเป็นเป็นศาลไม้
2 ศาล มีป้ายชื่อติดหน้าจั่วศาลบอกว่าศาลหลวงพ่อศรีราชา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสององค์ พร้อมเครื่องบูชาดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ฉัตรเงินฉัตรทอง และอีกศาลเป็นศาลพี่ดำพี่ขาว มีรูปปั้นคล้ายปู่ฤาษีขนาดเท่าคนหนึ่งองค์ และขนาบด้วยรูปปั้นขนาดเล็กซ้ายขวาตั้งอยู่ ข้างๆ มีไม้รูปทรงคล้ายเจว็ดตั้งอยู่ข้างๆศาล ลักษณะของศาลทั้งสองเหมือนกัน ในขณะที่ใกล้ทางเข้ามีศาลปูนมั่นคงแข็งแรงอีกหลังหนึ่ง ทั้งยังมีเพิงเล็กๆ ตั้งหัวเรือผูกผ้าสีต่างๆ ตัวศาลนี้ตั้งอยู่ใกล้ปากคลอง มีทางเดินเท้าลาดคอนกรีตเล็กๆเข้าไป พื้นที่โดยรอบถูกล้อมรั้วทั้งสี่ทิศ ในอดีตศาลไม่ได้มีลักษณะที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน สันนิษฐานตามคำบอกเล่าว่าเป็นศาลไม้ สังกะสี คุณป้าอรุณ สิริแย้ม เล่าว่า “ศาลพี่ดำพี่ขาวสมัยก่อนเป็นศาลเล็กๆ เดิมเป็นศาลสังกะสี แล้วจึงมาเชิญสร้างใหม่ ตั้งพร้อมกันหมด” ก่อนหน้านี้ที่ดินดังกล่าวมีเจ้าของอยู่ ภายหลังได้ยกให้เป็นที่ดินสาธารณะเพื่อตั้งศาลแห่งนี้ นอกจากนี้คุณยายอี๊ด คงรักษา เป็นหนึ่งครอบครัวที่มีความเกี่ยวข้องกับศาลโดยตรง กล่าวคือ บิดาของยายชื่อ ตาปลา เป็นผู้ตั้งศาลขึ้นมาพร้อมกับพรรคพวกในหมู่บ้าน ประกอบพิธีเกี่ยวกับศาล โดยเฉพาะการเข้าทรงพี่ดำพี่ขาวและองค์หลวงพ่อศรีราชา รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆที่เคารพนับถือบูชากัน
          “พี่ดำ พี่ขาว หลวงพ่อศรีราชา” มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ชัดเจนนัก มีเพียงเรื่องเล่าของคนในชุมชนที่เล่ากันสืบจากรุ่นสู่รุ่น แต่มีข้อสังเกตว่า ชื่อ “ศรีราชา” อาจจะสัมพันธ์กับอำเภอศรีราชาของจังหวัดชลบุรีหรือเปล่า หรืออาจจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับปู่ศรีราชาที่เขายี่สารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวพื้นที่แห่งนี้มากนัก
คุณยายอี๊ดให้ข้อมูลว่า ท่านทั้งหลายเป็นใครไม่ทราบได้ แต่ต้นเหตุของการเรียกชื่อ มาจากการเข้าทรงในบรรดาญาติพี่น้องของคุณยายนับตั้งแต่คุณพ่อ คือ ตาปลา ตาเลื่อน ตาลี่ ตาชิด เป็นคนทรงดั้งเดิมของหมู่บ้าน เมื่อเข้าทรงจึงมีการบอกชื่อว่าเป็นใคร ทรงคนหนึ่งบอกว่าเป็นปู่ดำ บ้างก็ปู่ขาว และพ่อศรีราชา นับตั้งแต่นั้นจึงมีการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนรูปของทั้ง
3 องค์ขึ้น ข้อมูลของคุณยายทองหยิบ เล่าให้ฟังถึงที่มาของพี่ดำ พี่ขาว ว่าเป็นผู้ชายที่เสียชีวิตบริเวณปากคลองฉู่ฉี่ ภายหลังเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนที่สัญจรไปมาและคนในหมู่บ้าน ทั้งนี้ศาลพี่ดำพี่ขาว ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันกับศาลหลวงพ่อศรีราชา ทำให้ผมนึกไปถึงศาล “พ่อดำ” ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดศรัทธาธรรมหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “วัดมอญ” ก็เป็นอีกศาลหนึ่งซึ่งตั้งเคียงคู่กับศาลเทวาลัยวัยทัต ภายในศาลประดิษฐานเจว็ดทั้งสองศาล เป็นศาลที่เคารพนับถือของชาวมอญที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านบางจะเกร็ง
          ยังมีเรื่องเล่าถึงความน่ากลัวและความยำเกรงของคนในชุมชนถึงปู่ดำ ผ่านบทสนทนามุมร้านขายของหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นร้านของคุณป้าอรุณ สิริแย้ม คุณป้าได้มีโอกาสเล่าถึงเรื่องราวของความน่ายำเกรงของพี่ดำให้เราฟังว่า พี่ดำนั้นมีขนาดใหญ่โต เวลาใครไปใครมาผ่านหน้าศาล พี่ดำมักจะกระโจนน้ำ แกล้งคว่ำเรือบ้าง กรณีนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายของคุณป้า ผมนั่งฟังคุณป้าเล่าไปก็นึกภาพเห็นถึงความน่ารักและความน่ากลัวของเรื่องเล่า ก็ชวนให้รู้สึกตื่นเต้นไปตามๆกัน
          ครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับหลวงพ่อศรีราชา พี่ดำพี่ขาว เมื่อมีผู้ร้ายมาขโมยรูปเหมือนที่บูชาไปจากหมู่บ้าน ทำให้คนในชุมชนเสียใจเป็นอย่างมากกับการโดนโจรกรรมในคราวนั้น จนไม่สามารถนำกลับมาสู่หมู่บ้านได้ หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงมีการหารือเพื่อหาองค์ใหม่มาแทนองค์เก่าที่หายไป ดังปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบันนี้ คุณยายอี๊ด เล่าให้เราฟังว่า ในการไปเช่าพระองค์ใหม่มาแทนองค์เก่านั้น ทางบ้านของคุณยายโดยคุณตาปุ้ยและตาปลา ได้ออกเดินทางมากรุงเทพมหานคร เพื่อเช่าพระแทนองค์หลวงพ่อศรีราชาตั้งไว้ยังศาลดังเดิม ภายหลังจึงมีการทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อศรีราชา พี่ดำพี่ขาวขึ้นใหม่ นับเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจมาสู่ชาวบ้านอีกครั้งหนึ่ง
          ศรัทธามหาชน ผ่านประเพณีเดือนห้า และแก้บนบูชาเดือน 12
          ในช่วงเดือนห้าตามการนับทางจันทรคติของไทยทุกๆ ปีจะมีการจัดงานประเพณีบูชาหลวงพ่อศรีราชา และพี่ดำพี่ขาวขึ้นในหมู่บ้านฉู่ฉี่ กระทำสืบเนื่องมาตั้งแต่อดีต ซึ่งจะมีการจัดงานสองช่วงคือ วันที่ 16 และ 17 ของเดือนเมษายนของทุกปีจะมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระและสมโภช และในช่วงเดือน 12 ในเดือนธันวาคม จะมีการทำขนมไปถวายที่ศาลและแก้สินบนตามที่ได้ขอกันไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว
          การจัดงานจะจัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนระหว่างวันที่ 16 และ 17 ถือเป็นงานใหญ่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทย งานวันแรกจะมีพิธีทางสงฆ์ สวดมนต์ในตอนเย็น เช้าวันที่ 17 จะมีพิธีทำบุญ สรงน้ำพระ
หลวงพ่อศรีราชา พี่ดำพี่ขาวขึ้น รดน้ำผู้ใหญ่และผู้สูงอายุของหมู่บ้าน สถานที่จะจัดขึ้นที่หน้าอนามัยของชุมชน บางปีก็จะจัดกันที่ลานหน้าบ้านอดีตผู้ใหญ่ปรีชา ซึ่งจะมีผู้คนทั้งในชุมชนและต่างพื้นที่จะมาร่วมงานกันอย่างมากมาย ในอดีตมีมหรสพมากมายตั้งแต่ละครชาตรีซึ่งมาจากเมืองเพชรบุรี วัดเพชรสมุทรในตลาดแม่กลอง
หนังตะลุงและหนังกลางแปลงมาฉายกันในยามค่ำคืน ส่วนในช่วงเดือน
12 เป็นเพียงการนำของไปถวายตามที่ตนได้บนบานศาลกล่าวไว้เท่านั้น แต่มีความน่าสนใจที่ว่ามีการทำขนมไปถวายกัน คุณยายอี๊ดเล่าให้ฟังถึงการบูชาตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ ตามคุณลักษณะสำคัญของการบูชา กล่าวคือ หลวงพ่อศรีราชา จะบูชาด้วยของเซ่นสำคัญคือ ขนมต้มขาวต้มแดง แป้งจี่ หัวหมู บายศรี ไม้คันหลาวหลาว พี่ดำพี่ขาวจะบูชาด้วยหัวหมู เป็ดไก่ บายศรี มีเหล้าและอาหารทะเลที่หาได้จำพวก กุ้งหอยปูปลา ซึ่งในปัจจุบันนี้เหลือเฉพาะบ้านคุณยายฮุ้น
ที่นำขนมไปถวายในช่วงเดือน
12 ฟังมาตรงนี้ก็ดูเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประเพณีของการทำขนมไปถวายได้เริ่มหมดไปจากการรับรู้ของคนในชุมชน หากหมดสิ้นคนเฒ่าคนแก่ไปก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
          นอกจากนี้ยังมีการเข้าทรงพี่ดำพี่ขาว หลวงพ่อศรีราชา โดยจะมีการประกอบพิธีเข้าทรงขึ้นในชุมชน คนที่ทรงจะเป็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านและยังมีคนที่อยู่นอกหมู่บ้านมาเป็นคนทรงด้วย ในอดีตการเข้าทรงเป็นเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจของชาวบ้านและคนจากที่อื่นเป็นอย่างมาก เพราะมีการแสดงอภินิหารต่างๆ ด้วยความน่ายำเกรงและเกรงกลัว ชวนให้ตื่นเต้น หวาดเสียวไปตามๆกัน หลายคนได้เล่าไปพร้อมทั้งยังทำท่าทาง แววตาของความทรงจำผ่านผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน คุณยายอี๊ดเล่าได้เล่าให้เราฟัง เมื่อครั้งที่ตนเองอยู่ในเหตุการณ์เข้าทรงผ่านญาติพี่น้องของคุณยาย
“แกเป็นใครไม่รู้ แต่เข้าประทับ และแกก็บอกว่าเป็นพ่อศรีราชา มีปู่ปลาประทับทรงพ่อศรีราชา พวกน้าๆมี พ่อเอกศักดิ์ พ่อพรหมโลก รุ่นหลังๆจะมีประทับพี่แขก แขกนี่ขลังมาก เขามาประทับเฉยๆเป็นใครมาจากไหนเราไม่รู้ สงสัยอาจจะเป็นคนแขกผ่านร่างตาปลา ตาเลื่อน ตาลี่
ตาชิด คนที่เป็นร่างทรง สุดแท้จะมากัน พอถึงงานปีทีก็จะมากัน การเลือกสุดแท้ว่าจะเข้าร่างใครไม่ได้มีการเลือก ซึ่งพี่ดำพี่ขาวไม่ได้เข้าร่างใคร เรานับถือก็ไปไหว้ไปบอก เขาจะรู้กันในเรื่องการเข้าทรงว่าองค์นี้เป็นใครมาจากไหน”
            อดีตผู้ใหญ่บ้านปรีชา ได้เล่าถึงเหตุการณ์คนทรงได้แสดงอภินิหาร น่าตื่นเต้นให้เราฟังกัน ถึงความขลังที่มาพร้อมกับศรัทธาต่อหลวงพ่อศรีราชาและพี่ดำพี่ขาว
“สมัยก่อนมีเจ้ามาเข้าทรง พ่อศรีราชามีคนทรง มีคนเชือดลิ้น เดินลุยถ่าน คนทรงตายหมดก็ไม่เหลือ มีตาปลาคนทรงเจ้าพ่อศรีราชา และมีคนที่อื่นเข้ามาทรงเยอะด้วย”
            ทุกวันนี้ประเพณีทำบุญให้กับศาลยังคงสืบทอดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าพิธีกรรมการเข้าทรงจะไม่มีให้เห็นอย่างเมื่อครั้งอดีตหรือแม้แต่การทำขนมไปถวายให้กับศาล เริ่มที่จะจางหายไปจากการรับรู้ของคนปัจจุบัน แต่ความศรัทธาของผู้คนในหมู่บ้านและชุมชนใกล้เคียงยังคงให้ความเคารพนับถือ ขอพร บนบานศาลกล่าว ให้เกิดความสุขความเจริญ และปัดเป่าความเดือดร้อนในใจของผู้ที่ศรัทธาให้หายมัวหมอง เถ้าแก่แพปลาแม่กลองยังต้องนำปลามาถวายเพื่อบูชายังศาลแห่งนี้กันอยู่นับตั้งแต่อดีต หรือแม้แต่ชาวประมงที่ต้องออกไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ยังจะต้องแสดงความเคารพ เพื่ออ้อนวอนให้เรือประมงของตนปลอดภัยและได้รับขุมทรัพย์ใต้ท้องทะเลตามปรารถนา หรือแม้แต่คนที่ต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านไกลถิ่นของตน หากมีโอกาสก็จะกลับมาร่วมงานบุญในช่วงสงกรานต์ มีคำกล่าวของคุณป้าบังเอิญ คงรักษา เล่าให้เราฟังถึงศรัทธาที่มีต่อศาลในชุมชนแห่งนี้ว่า
“ในชุมชนเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พ่อดำ พ่อขาว พ่อศรีราชา ท่านศักดิ์สิทธิ์ เช่นของหาย ทุกข์ร้นใจ ทุกคนต้องพึ่ง เราจะออกทะเล เราต้องบอกให้ท่านช่วย คุ้มครอง ต้องมีของทุกอย่างไปไหว้ทุกปี”
            นอกจากความศรัทธาที่มีต่อพี่ดำ พี่ขาว หลวงพ่อศรีราชา ความศรัทธาของคนในชุมชนฉู่ฉี่ยังผูกพันกับวิถีชีวิตในความเชื่อที่เกี่ยวกับการทำประมง นับตั้งแต่การดูเรื่องน้ำ เรื่องลม หรือแม้แต่เรือ ซึ่งนับเป็นพาหนะสำคัญในการออกทะเล ดังนั้น ในทุกๆปี ช่วงเทศกาลตรุษจีน อันเป็นวัฒนธรรมของชาวจีนโพ้นทะเล ได้ถ่ายทอดมาสู่วัฒนธรรมชาวประมงพื้นบ้านอย่างประมงในคลองฉู่ฉี่ จะมีการเซ่นไหว้หัวเรือหรือที่เราจะให้ความเคารพในฐานะ "แม่ย่านาง” ซึ่งเป็นความเชื่อของผู้ที่ใช้พาหนะในการเดินทางทุกประเภท โดยเฉพาะเรือ เราจะพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่คนที่เคารพนับถือแม่ย่านางผ่านการผูกผ้าสีต่างๆ บนหัวเรือ อันแสดงออกให้เห็นถึงการเคารพนับถือสูงสุดในหมู่ชาวประมงในทั่วสารทิศ คุณป้าบังเอิญเล่าให้เราฟังว่า การไหว้แม่ย่านางของคนฉู่ฉี่ จะเรียกว่า “ไหว้ใหญ่” เสมือนว่าในหนึ่งปีจะจัดให้มีการทำบุญให้กับเครื่องมือประมงครั้งหนึ่ง คงขาดไม่ได้ทีเดียวในเทศกาลตรุษจีนผ่านเสียงปะทัด ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว
          เมื่อมีการก่อสร้างศาลกรมหลวงชุมพรขึ้นบริเวณดอนหอยหลอด ชาวบ้านฉู่ฉี่และคนทั่วสารทิศต่างให้ความเคารพนับถือกรมหลวงชุมพรเช่นกัน รวมทั้งหลวงพ่อบ้านแหลมแห่งวัดเพชรสมุทรในตลาดแม่กลอง เสมือนคนที่เกิดในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นลูกหลวงพ่อบ้านแหลมทั้งสิ้น ศรัทธาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจากความรู้สึก ภาพถ่าย รูปเหมือน เครื่องมงคลต่างๆ ที่จะต้องมีหลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองตั้งบูชาในบ้านหรือห้อยคอของแต่ละบุคคล นอกจากนี้คนในชุมชนยังให้ความศรัทธากับภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้ชุมชน เช่น วัดศรัทธาธรรม(วัดมอญ) วัดบางจะเกร็ง วัดเพชรสมุทร วัดปากสมุทร วัดป้อมแก้ว
ตามบรรพชนของแต่ละครอบครัวเคยไปทำบุญและเป็นที่เก็บอัฐิของเครือญาติอยู่ยังถิ่นนั้นๆ ถึงแม้ว่าในชุมชนแห่งนี้จะไม่ได้มีวัดตั้งอยู่ในชุมชน แต่ความศรัทธาในพุทธศาสนาตามบรรพชนก็ยังคงสืบทอดกันมา
          แม้ว่าการเดินทางของพวกเราเป็นเพียงการมาเยี่ยมเยือนในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจในวิถีชีวิตของเพื่อนมนุษย์ทุกคน ผู้ร่วมชะตากรรมในโลกเดียวกัน ทำให้เราเห็นถึงพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ถึงแม้ว่าเราไม่อาจจะต้านทานความเปลี่ยนแปลงที่พัดพามาจากภายนอกรอบด้าน
อันเกิดจากการพัฒนาเพื่อสร้างความเจริญในมิติต่างๆ ผมยกกล้องขึ้นถ่ายภาพที่ชื่นชอบ เพื่อเก็บภาพประทับใจกับการมาเยือนในครั้งนี้ ยังคงไม่วายอนิจจาขึ้นมาในใจ ดินลูกรังที่ถมอยู่ใกล้ป่ารกชัดจำพวกโกงกาง ลำพู แสม ใกล้กับหมู่บ้าน ยืนต้นสง่างามพร้อมกัน ยืนยันถึงความสง่า ว่าข้าจะต้องตายไปแล้ว บ้านใหญ่โตโอ่อ่าจะมาแทนที่พวกเขา เราได้แต่คิดเพียงว่า ขอให้มีเพียงเท่านี้ ฉู่ฉี่กำลังจะได้รับการเปลี่ยนแปลงรอบด้านไม่ต่างไปจากชุมชนอื่นๆ ที่กำลังปรับตัวเพื่อเผชิญความความอยู่รอด บางทีผมก็มองว่าคงจะเป็นการดีที่ฉู่ฉี่เป็นเพียงชุมชนเล็กๆ ทางผ่านไปยังดอนหอยหลอด ถ้าไปตั้งอยู่ที่ดอนหอยหลอด คงจะเป็นเรื่องใหญ่โตของชาวบ้านกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงรอบทิศทาง เช่น การรุกล้ำพื้นที่ การปล่อยน้ำเสีย ขยะลงในลำคลอง การใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่นับเป็นเม็ดเงินเม็ดงามอย่างหนึ่งของชาวบ้านในการทำมาหากิน อาจจะเป็นผลที่ดีและคงจะเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างที่งดงามของชุมชนไปเป็นอย่างอื่น หรือนี่อาจจะเป็นบุญของชุมชนคน “ฉู่ฉี่” ที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากพี่ดำ พี่ขาว หลวงพ่อศรีราชา เป็นแรงศรัทธา รักษาชุมชนและชาวบ้านให้ยังคงดำเนินชีวิตต่อไปได้
          แสงแดดอ่อนแรง ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ผมเดินเท้าก้าวออกจากหมู่บ้าน เพื่อออกเดินทางกลับสู่เมืองหลวงพร้อมกับคณะผู้ร่วมชะตากรรม หากมีโอกาสมาเยือนจังหวัดสมุทรสงคราม “ฉู่ฉี่” จะเป็นหนึ่งในชุมชนที่ผมไม่มีวันลืมเลือน ผมขอขอบคุณโอกาสดีๆ ที่มีให้ในครั้งนี้ ขอบคุณชาวคลองฉู่ฉี่ทุกคนที่ให้การต้อนรับอย่างดี แม้ว่าบางรายจะกำลังวุ่นกับภารกิจในเครื่องมือทำมาหากิน หรือกำลังพักผ่อนอยู่ ก็ยังสละเวลาอันค่าให้ข้อมูลดีๆกับพวกเราด้วยไมตรีจิต....กราบขอบพระคุณอีกครั้ง

อ้างอิง
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์.รองศาสตราจารย์. “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมชาวสวน จังหวัดสมุทรสงครามตอนบน (ตำบลท่าคา อำเภออัมพวา และตำบลดอนมะโนรา อำเภอบางคนที).” ใน วารสารหน้าจั่ว ว่าด้วยประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม และสถาปัตยกรรมไทย 7 (กันยายน 2553-สิงหาคม 2554),223-225.
___________________. “แผนที่แสดงโครงข่ายสายน้ำ.” เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาการเขียนสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ หมวดวิชาประวัติศาสตร์ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2558. (อัดสำเนา)
ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. สารคดีชีวิตที่แม่กลอง ชุด เรือแล่นทะเลจม. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2544.


ข้อมูลจากสารสนเทศเบื้องต้น
เทศบาลตำบลบางจะเกร็ง, ข้อมูลพื้นฐานตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม. เข้าถึงเมื่อ
26 กุมภาพันธ์ 2559. เข้าถึงได้จาก
http://www.bangjakreng.go.th/Page_AllOffice.html
วิธาน เตชะโกมล, ปลาอีกง. เข้าถึงเมื่อ 25 เมษายน 2559. เข้าถึงได้จากhttp://www.asianfeed.co.th/upload/pdf/con5_0011
ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งสมุทรสงคราม, สถานะการณ์ดอนหอยหลอดในปัจจุบันสมุทรสงคราม. เข้าถึงเมื่อ26 กุมภาพันธ์ 2559. เข้าถึงได้จาก http://www.fisheries.go.th/cfsamutsong
สัมภาษณ์
          1. บังเอิญ คงรักษา อายุ 55 ปี อาชีพ ประมงและค้าขาย สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559
          2. พี่เกษม อายุ 45 ปี อาชีพ ประมง (อวนปู) สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559
          3. พี่ทองใบ อายุ 55 ปี อาชีพ ประมง สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559
          4. พี่สมคิด ลิ้มพิไล 47 ปี - พี่พะยอม เทพทอง อาชีพ ประมง สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559
          5. พี่ๆ กิจการเรือท่องเที่ยวประมงพื้นบ้าน สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559
          6. ยายช้อย พ้นภัย อายุ 100 กว่าปี สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559
          7. ยายทองหยิบ สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559
          8. ยายอี๊ด คงรักษา อายุ 80 กว่าปี สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559
          9. อดีตผู้ใหญ่บ้านปรีชา สิริแย้ม อายุ 77 ปี สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559

          10. อรุณ สิริแย้ม อายุ 70 ปี อาชีพเปิดร้านค้า สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559